วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การจุติสร้างพระบารมีของสัพเกษีโพธิสัตว์

 ขอนำท่านสมาชิกมาทบทวนเรื่องราวช่วงหลังพระเจ้าพรหมมหาราชสวรรคต เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจเยอะมากทั้งทางโลกทางธรรมครับ ... เราพออ่านไปนานๆ อาจลืมเลือน หรือขาดความแม่นยำในเรื่องราวที่จะนำไปประกอบการนำไปอ้างอิง เผยแพร่ธรรมะครับ ...  อย่าง ละครพอคนลืมเขายังมาฉายใหม่ สร้างใหม่เลยครับ
 
                                          ------------------------------------------------------
 
 
       (คัดลอกเฉพาะบางตอนจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หน้า ๖๕ จากบรรทัด ๘ - หน้า ๗๘ บรรทัด ๑๒)

... เป็นอันว่า  เมื่อกองทัพหน้าอันมีพระเจ้าพรหมมหาราช  ตีขอมดำตะลุยไม่หยุดเลย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน  ก็มาพักยับยั้งกองทัพที่  บ้านยั้งทัพ  แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่บ้าน ชุมพล  เห็นว่าทะแกล้วทหารรวมตัวกันดี และทัพดาบตามมาทัน มีการพักผ่อนพอสมควร ต่อมาก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็กๆ  เพราะตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว ก็เก็บเล็กเก็บน้อย ขอมหมดแรง เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น  ขึ้นชื่อว่าขอมไม่ให้มีชีวิตอยู่เลย  ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร

     ตามตำนานท่านบอกว่าพระอินทร์มาเนรมิตกำแพงเพชรกั้นไว้  ความจริงแล้วท่านเห็นว่า จะทำบาปมากเกินไปจึงให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมด หมดกำลังใจ แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราชเอง  คิดว่าเก็บล้างขอมก็ยากแล้วแค่นี้ก็พอ  เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนครจากพะเยาลงมาถึงกำแพงเพชร  นี่ก็ไม่ใช่น้อย  หลังจากนั้นก็ยกทัพกลับโยนกนคร  ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังยืนถือดอกไม้ ธูปเทียน  รับทัพพระเจ้าพรหมมหาราช ๒ ข้างทางด้วยอาการสงบ  

   พระเจ้าพรหมมหาราชกลับไป  ก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นพระมหาอุปราชแทนที่ตัวจะเป็น ท่านเองก็มารักษาอยู่ที่กำแพงเพชรนี่ บ้านเมืองแห่งโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป เพราะขอมสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว อาณาเขตของโยนกนครเวลานั้นก็ขยายจาก พะเยา มาถึง กำแพงพชร ก็ไม่ใช่น้อย เวลานั้นพระเจ้าพังคราชมีอายุ ๔๒ ปี รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่ ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้มีความสุข

     ต่อมาสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านซึ่งเป็นไทยใหญ่  ได้นำพระไตรปิฏก กับพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช  ดังนั้น  พระองค์จึงให้ลูกชายทั้งสอง คือ เจ้าชายทุกภิกขะ และพระเจ้าพรหมมหาราช  มาร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบน ดอยน้อย คือ พระธาตุจอมกิตติ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำเป็นอ่างทองคำ ฝังไว้ใต้ดิน  มีเรือสำเภาทำมณฑปบรรจุ  ผะอบแก้ว  ผะอบทอง  ผะอบเงิน ผะอบนาค  และผะอบงาช้างเป็นชั้นๆ  เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ขึ้น  ทำทองคำแผ่น รีดเป็นแผ่นๆ แปะหุ้มภายนอกขององค์พระเจดีย์ตั้งแต่ยอดลงมาถึงฐานเต็มองค์  ดังนั้น  เจดีย์องค์เดิมที่บรรดาลูกหลานเห็นเป็นทองอร่ามอยู่ภายในองค์ปัจจุบันนั้นเป็นความจริง  ต่อมาพระเจ้าผาเมืองทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทับเข้าไว้ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน  ถ้าไม่สร้างทับไว้เวลานั้นทองคงหมดไป

     เวลานั้น  สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านชี้จุดบน ดอยน้อย นี้ว่า  องค์สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ ที่นี้  ทรงอธิษฐานให้ เส้นพระเกศา ของพะองค์หลุดติดพระหัตถ์มา ๓ เส้นเมื่อทรงเสยพระเกศา  แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงฝังเส้นพระเกศาโดยการอธิษฐานให้จมลงบนยอดดอยน้อยนั้น แล้วพยากรณ์ว่า  "เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรือง จะสามารถรักษาพุทะศาสนาไว้ไดครบ ๕,๐๐๐ ปี"  เวลานั้นทุกคนทราบเรื่องก็ดีใจ  ประกอบกับมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากอยู่แล้ว  ต่างคนต่างก็บูชาด้วยเครื่องสักกาวรามิสต่างๆ  และได้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในด้าน ทาน ศีล ภาวนา  ครบถ้วน

      บั้นปลายชีวิตพระเจ้าพังคราช ได้ไปเจริญสมณธรรมที่ วัดปากน้ำคำ  ที่เขากำลังซ่อมบำรุงกันอยู่ในเวลานี้  พระองค์ได้ฌานสมาบัติ  เวลาทวงคตก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ เพราะท่านบอกว่า  เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระอนาคามี แต่เวลานี้เป็นพระอนาคามีแล้ว (พ.ศ. ๒๕๒๑)  ก็ไม่อยากเลื่อนขึ้นไปเพราะอยู่ที่นี่ก็สบายดี  ปัจจุบันนี้ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๔)  สมเด็จพระเจ้าพังคราชไปนิพพานแล้ว

     ต่อมาเจ้าชายทุกภิกขะก็เสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา  และในที่สุดก็ทิวงคต  พระเจ้าพรหมมหาราชก็เป็นกษัตริย์ปกครองครองโยนกนครสืบมา  พระองค์เจริญสมณธรรมทรงฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปิติ

     ต่อมาภายหลังลูกๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราชเก่งไม่เท่าพ่อ  ก็เสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่  แต่ก็ไทยเหมือนกัน  แล้วราชวงศ์เชียงแสนก็ถอหลังลงมาทางใต้  เป็นต้นตระกูลของ พระเจ้าอู่ทอง ที่สร้างกรุงศรีอยุธยา  และเวลานี้ราชวงศ์จักรีก็เป็นราชวงศ์ของเชียงแสน อยู่นั่นเอง  นี่คนแก่ซึ่งไม่ใช่พ่อนะ ท่านเล่าให้ฟังต่อๆ กันมา

    พ่อมานั่งนึกๆ ดูว่า  พวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่นี่  ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสน  หรือพระเจ้าพังคราชตอนโน้นก็ได้  ดีไม่ดีเป็นนักรบบ้าง  นักรักบ้าง  แล้วก็มานั่งป๋อหลอกันอยู่ที่นี่ก็ได้ใคจะไปรู้  ถ้าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่  หรือพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก  เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า  พวกเราที่กำลังนั่งฟังอยู่เวลานี้เกิดทันสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า  เป็นนักรบบ้างหรือเปล่า  ดีไม่ดีท่านจะชี้หน้าว่าคนนั้นเป็นคนนี้  คนนี้เป็นคนนั้นๆ เป็นต้น

     เรามาพูดกันว่า  ทำไมประเทศไทยจึงต้องมีกษัตริย์  คำว่า  "กษัตริย์"  นี่เขาแปลว่า  "นักรบ"  กำลังใจของคนไทยทั้งหมดยู่ที่หัวหน้า  ถ้าหัวหน้าขี้แยคนไทยก็ขี้แย  ถ้าหัวหน้าเอจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว  คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้  อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหหน้านำคนไทย  แม้เพียงส่วนน้อย  น้อยกว่าขอมมาก  ถูกขอมย่ำยีอย่างหนัก  ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน  เมื่อหัวหน้าเอาจริงเราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก

     ขอย้อนถึพระเจ้าพรหมมหาราชตอนทิวงคต  อาศัยกำลังฌานสมาบัติก็ไปเกิดเป็นพรหม  คนที่มาจากพรหม  หรือจะไปเป็นพรหมได้  ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งจากกำลังฌานสมาบัติ  เวลาที่มาเกิด  คนมาจากพรหมจะมีจริยาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา  จะรักแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว  ถ้าอยุติธรรมก็สู้แบบหัวชนฝาเลยทีเดียว  เรียกว่า  ไม่ยอมขึ้นกับความอยุติธรรม       เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม  เห็นไหมลูก  รบกันเกือบตาย  ขยายเขตแดนออกไป  ร่ำรวย  เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี  เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด  ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง  แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้

   "ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะหวังพระนิพพานพ่อพอใจ  เราไปนิพพานกันดีกว่านอนสบายให้มีความสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป"

     "พูดแบบนี้ใครจะฟ้องว่า อวดอุตริมนุสธรรม ก็เชิญสิพ่อคุณ  ถ้าตัวรู้จริงจะฟ้องละก็เชิญทำให้ได้สิ ทบทวนในการเกิด  เวลานี้ขอบอกกันตามตรงว่าไม่ขึ้นกับใครทั้งนั้น  ขึ้นกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว  พวกที่ห่มผ้าเหลืองสักแต่ว่าห่มจะไม่ยอมขึ้นด้วยเป็นอันขาด  เว้นไว้แต่ท่านที่ห่มผ้าเหลืองที่ทรงธรรมะแน่นอน  นี่ขอประกาศเด็ดขาดว่า  ถ้าขืนใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมข่มเหงกัน  จะได้เห็ดีกันแน่นอน  คราวนี้จะได้รู้กันว่าพวกที่ห่มผ้าเหลืองแล้ว ไม่ทรงศีลไม่ทรงธรรม  หลอกลวงชาวบ้าน  ชอบยศฐาบรรดาศักดิ์  แต่อย่าลืมว่า  พวกที่ทรงยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ท่านดีก็มีมาก  แต่ไอ้ที่เลวๆ มันก็มีมาก  ไอ้พวกเลวๆ นี่มันชอบกวนใจ  สักวันหนึ่งข้างหน้ามัจะได้รู้  ถ้านเข้ามาข่มเหง  จะได้รู้ว่าคนพูดนี่เป็นใคร"

     เป็นอันว่า  ตายกันเสียทีพระเจ้าพรหม  เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๘๐๐ ปี ท่านนอนสบายอยู่ที่พรหม  หนีเหนื่อยไป  หนีบาปไป  ด้วยกำลังของฌานและวิปัสสนาญาณ  เพราะท่านผู้นี้ทำบาปแล้วทำบุญ  เวลาเป็นพระราชาก็ต้องแบ่งเวลาความเป็นพระราชาบ้าง ถ้าไม่แบ่งไม่ได้  เป็นพระราชาทุกวินาทีก็หายใจไม่ออก  มันต้องกระโดโลดเต้นกันบ้งเป็นธรรมดาๆ

     เวลาผ่านไป ๘๐๐ ปี จากการตายของพระเจ้าพรหมมหาราช  ในเวลานั้นขอมมีอำนาจอีกแล้ว  มีพระราชาของไทยองค์หนึ่งชื่อ พระยาอภัย หนีขอมจากลำพูน  มาถือศีลภาวนาอยู่ในป่าที่ เขาหลวง อันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย  ท่านมาถือศีลภาวนาทำตายิบๆ ยิบๆ ที่เขาหลวง  เจอสาวชาวป่าสวยผิวขาวสะโอดสะองชื่อ นางนาด หน้าตาดี ทรวดทรงน่ารัก  เจอเข้าในป่าก็เลยชอบกัน  สมสู่อยู่ด้วยกัน ๗ วัน  ที่เขาหลวงนั่น หลังจากนั้น  พระยาอภัยก็กลับไปหวังจะครองอำนาจตามเดิม  ก่อนจะไปก็ให้ผ้ากัมพลกับพระธำรงค์ไว้เป็นที่ระลึก  ท่านบอกว่า  เวลานี้กำลังลำบากมากจะต้องกลับไปแสวงหาอำนาจ  ถ้าได้ครองราชเมื่อไรจะกลับมารับ

   ต่อมานางนาดเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา  คลอดออกมาแล้วเป็นผู้ชายไม่รู้จะเก็บลูกไว้ที่ไหน ก็เอาไปเก็บไว้ที่เขาหลวงนั่น  เอาผ้ากำพลกับพระธำมรงค์แขวนไว้ด้วย  นี่แหละคนดีของเชียงแสนมาเกิด  (คือพระเจ้าพรหมมหาราช  จุติจากพรหมมาเกิดเป็นลูกชายของนางนาดกับพระยาอภัยในป่าถูกแม่ทิ้งไว้ที่เขาหลวง) แต่ก็มีงูใหญ่แผ่แม่เบี้ยรองรับเด็กน้อยไว้  ท่านบอกว่าเป็นงูพระโพธิสัตว์  ท่านบอกว่ากรรมที่ตีขอมฆ่าขอมระเนระนาด  ทำให้เขาพลัดพรากจากกัน  ตายแล้วหนีบาปไปเป็นพรหมด้วยกำลังฌานสมาบัติ  กฏของกรรมที่ทำให้เขาพลัดพ่อ  พลัดแม่  พลัดบ้าน  พลัดเมือง  พอเกิดชาตินี้ที่ไหนได้กลายเป็นถูกแม่ทิ้งไปเสียได้ เอาแล้วอยู่เป็นพรหมสบายๆ ไม่พอเสด็จลงมาเกิดอีก  ก็จะนอนให้มันสบายๆ ไม่เอา  นอนไม่ได้ซิ  เพราะเวลานั้นไทยป่นปี้อีก  หลังจากพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปแล้ว ลูกๆ ดีไม่พอ  ไทยก็กลับเป็นทาสของขอมต่อไป  เจ้าขอมมันย่ำยีต่อไป

     ต่อมาท่านบอกว่า  มีนายพรานป่าไปพบเด็กชายที่เขาหลวงเข้า  เกิดชอบใจก็เก็บเอาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เพราะท่านไม่มีลูกท่านก็รักเด็กมาก  ต่อมาพระยาอภัยได้อำนาจกลับมาแล้ว ก็เกณฑ์ชาวบ้านไปสร้างปราสาท  พรานคนนี้ก็ถูกเกณฑ์ไปด้วย  จึงเอาเด็กน้อยไปด้วย  ขณะทำงานก็เอาเด็กไปนอนไว้ในที่ร่มที่ปราสาทยังสร้างไม่เสร็จมีร่มเงา  ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ปราสาทโอนไปเอียงมาเหมือนมีลมแรงพัดหวั่นไหวไปปทั้งหลัง  พระยาอภัยจึงได้สั่งให้เอาตัวนายพรานเข้ามาถามว่า  เอาเด็กนี้มาจากไหน  พรานตอบว่า ได้มาจากเขาหลวง  ท่านถามว่าเด็กชายคนนี้มีอะไรเป็นสัญญลักษณ์  พรานตอบว่า มีผ้ากำพลกับแหวน  พระยาอภัยเห็นก็จำแหวนกับผ้ากำพลได้ก็ทราบว่าเป็นพระราชโอรส  จึงขอนายพรานว่า  ขอเด็กชายคนนี้เถิดฉันจะเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรมของฉัน  นายพรานแกรักเกือบตาย  พระราชาขอก็ต้องให้  พระราชาพระประทานบ้านส่วยใหห้นายพรานร่ำรวยขึ้น  ต่อมาพระยาอภัยก็ให้นามเด็กชายพระราชโอรสว่า  "อรุณกุมาร"  และพระมเหสีองค์ใหม่ก็ประสูติราชโอรสมาอีกองค์หนึ่งให้นามว่า  "ฤทธิกุมาร"  พี่น้อง ๒ คนนี่รักกันมาก  ต่อมาอรุณกุมารก็มีนามว่า  "พระร่วงโรจน์ฤทธิ์"  ฤทธิ์กุมารมีนามว่า  "พระลือ"  พระร่วงกับพระลือ ๒ พี่น้อง

     ต่อมา  พระลือ ได้มาครองเมือนครสวรรค์  และพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ได้อภิเษกกับราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัย  ก็ครองเมืองศรีสัชนาลัย  ซึ่งป็นเมืองเดิม  แสดงว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้มีคนไทยอยู่เต็ม  เป็นเมืองย่อยๆ เขาเรียกว่า  ละว้าบ้าง  ละโว้บ้าง  ละเว้บ้าง  ตามเรื่องตามราว

      เป็นอันว่ามาปกครองเมืองศรีสัชนาลัยได้นามว่า  พระร่วง  ไม่ช้าคงเป็นพระหล่น  พระองค์ทรงสร้างมหาวิหาร ๕ ทิศ  สร้างพระพุทธรูปหน้าพระมหาธาตุ (พระมหาธาตุคือเจดีย์ใหญ่) คือสร้างพระพุทธรูปไว้หน้าเจดีย์องค์ใหญ่  สร้างระเบียง ๒ ชั้น  ไปดูที่ศรีสัชนาลัยเวลานี้  แถวใกล้ๆ วัดเจดีย์ ๗ แถวน่ะ  เอาศิลาแลงมาทำเป็นกำแพง  มีเสาโคมรอบมหาวิหาร  เอาทองแดงมาทำเป็นพระขรรค์ยาว ๘ ศอกครึ่ง  เอาแก้วประดับที่ยอด ๑๕ ใบ  มีบัลลังแท่นรองด้วยยอดใหญ่ ๙ กำ  ทองคำอย่างดี ๑๐ ชั้นหุ้มทองแดงขลิบขนุน  ลงมาถึงตีนคูหา  สร้างพระอุโบสถ  สร้างวิหาร  เจดีย์  ที่ต้นรังให้ชื่อว่า  "วัดเขารังแล้ง"

     พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ทรงอานภาพที่ยิ่งใหญ่  เขาว่ายังงั้น  ประทศน้อยประเทศใหญ่พากันมาสวามิภักดิ์  เกิดทีไรขยายอาณาเขตทุกทีนะ พออายุ ๔๐ ปี  ได้ช้างเผือกงาดำ  และเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วย  เป็นคู่บารมี

    ช้างเผือกงาดำนี่  ท่านผกาพรหมบอกว่า  ส่งมาจากพรหม  นี่ใครอย่าเอาไปเป็นประวัติศาสตร์นะ  เขาเล่าให้ลูกให้หลานฟัง  คนอื่นอย่าเสือกนะ  อย่าเสือกมาวิพากวิจารย์  ว่าตามโบราณท่านว่ามายังไงก็ว่าไปตามโบราณ

     สมัยพระร่วงโรจน์ฤทธิ์มีหนังสือไทยใช้  เพราะพระองค์มีหนังสือส่งไปปยัง  มอญ  พม่า  ขอม  เชิญเขามาร่วมงาน  ลบศักราช  คือศักราชเขาตั้งผิดน่ะ  การลบศักราชนี่ก็ต้องนิมนต์พระมา ๕๐๐ รูป  มีพระพุฒโฆษาจารย์แห่งวัดเขารังแร้งเป็นประธาน

     ต่อมาพพระร่วงกับพระลือได้เสด็จไปเมืองจีนเป็นวาระแรก  โดยไปเรือยาว ๘ วา กว้าง ๔ ศอก  ใช้เวลา ๑ เดือนถึงเมืองจีน  ทำสัมพันธไมตรีกันดีมาก  พระเจ้ากรุงจีนไดถวายพระราชธิดามีนามว่า  พระสุทธิเทวีราชธิดา ให้เป็นเอกอัครมเหสีของพระร่วงด้วย (นี่แหละนาเกิดราวไรไม่เคยพ้นลูกสาวเจ๊กสักที  ก็เพราะมีเชื้ออยู่นี่เอง)  ก่อนกลับเมืองไทยพระเจ้ากรุงจีนได้ผ่าตรามังกร (ตราประจำพระราชสำนักจีน) เอาส่วนหางให้ราชธิดามาด้วย  เวลาส่งสาส์นก็ประทับตราส่วนที่ผ่ามานั้นไปจะได้รู้กัน  และให้ชาวจีน ๕๐๐ คนมาด้วย  มาตั้งเตาทำถ้วยชามที่ศรีสัชนาลัยนั่นเอง  เขาเรียกว่า  "เตาทุเรียง" (ไม่ใช่เตาทุเรียนนะ) เป็นอันว่าชาวจีนได้เข้ามาอยู่เมืองไทยคราวนั้นเป็นครั้งแรก

     ต่อจากนั้นพระร่วงก็ให้เอาตะปูทองแดงยาว ๓ วา  จำนวน ๓ กำไปตอกปักเขตที่เขาใหญ่อันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเมืองเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย  ตะปูทองแดงนั้นป่านนี้พวกเอาไปทำอะไรแล้วก้ไม่รู้

     ท่านบอกว่า  พระร่วงโรจน์ฤทธิ์เวลานั้น  คะนองมาก  ชอบเล่นกับชาวบ้านไม่ถือพระองค์  ไปทางไหนเด็กผู้ใหญ่ล้อมกันเป็นกลุ่มคุยกัน  นี่เขาเรียกว่าเป็นการเอาชนะใจกัน  การชนะใจกันถือว่าชนะเด็ดขาด  แต่ถึงเวลาจะใช้อำนาจก็เด็ดขาดเหมือนกัน ถึงเวลาตัดหัวก็ตัดกันใครมาทูลขอไม่ได้  เวลาไปไหนพระองค์ชอบไปคนเดียว  ไม่มีขุนนางติดตาม  ชอบไปคนเดียว  ท่านรู้วิชาหายตัว  กำบังตัว (ภาษาไทยโบราณเรียกว่า  บังเหลื่อม  คือหายตัวได้) รู้จบไตรเพท  เวลานั้นนับถือพราหมณ์ด้วย  มีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นไปตามวาจา  มีเจ้าขอมมันโผล่จากดินมาจะจับท่าน  ท่านบอกขอมจงเป็นหิน  ก็เป็นหินอยู่ตรงนั้น  นี่เรื่องขอมกลายเป็นหินน่ะพระร่วงโรจน์ฤทธิ์

     เวลานั้นก่อนกรุงสุโขทัยตั้งไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ  คือก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ

     ในที่สุด  พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็สวรรต  ด้วยกำลังของฌานสมาบัติกลับไปเป็นพรหมตามเดิมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปิติ  เพราะมีการเจริญพระกรรมฐานได้ฌานสมาบัติ  
 
  เป็นอันว่าบุคคลเดียวกัน  คือ พระเจ้ามังรายมหาราช   มาเกิดอีกทีเป็นสามเณรน้อยถูกกขอมย่ำยี  แม้แต่ข้าวในบาตรที่คนอื่นเขาใส่ให้แล้วด้วยดี  พญาขอมก็ให้คนของมันจับบาตรเทข้าวของเณรน้อยทื้งไปไม่ให้กิน  เณรไม่ว่าอะไรคิดสงสารคนไทยว่าเป็นทุกข์ถึงเพียงนี้  จึงอธิษฐานแผ่เมตตาจิตให้คนไทยมีความสุขเข้าฌาน ๗ วันก็ตายไปเกิดเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราชขับไล่ขอม  ไทยเป็นอิสระภาพมีความสุข  แล้วต่อมาพระเจ้าพรหมมหาชก็ตายในระหว่างฌานสมาบัติไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม  ตอนนี้คนไทยถูกขอมย่ำยีอีก  จึงลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๔ พระร่วงโรจน์ฤทธิ์สร้างความเจริญรุ่งเรืองมั่นคง  ขยายอาณาเขตออกไปครอง  มอญ  พม่า  ขอม  ไว้ได้หมด  อาณาจักรยาวเหยียด  ในที่สุดก็สวรรคต  คือตายในระหว่างฌาน  กลับไปเป็นพรหมตามเดิมอีก

     เห็นไหมลูกรักของพ่อ  ถ้าตัณหามันนังไม่หมดเพียงใด  ก็ต้องเกิดอีก  ตัณหาคือความรักติดอยู่ในรูปสวย  เสียงเพราะ  กลิ่นหอม  รสอร่อย  สัมผัสระหว่างเพศ  ความโลภอยากได้จะรวย  อยากจะใหญ่  ความบ้าอยากจะมีอำนาจเหนือคนอื่น  ความหลงคิดว่ามันจะไม่แก่ไม่ตาย  นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์

     ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความปรารถนาตามนั้น  ลืมมันเสียเรื่องขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเราลูกรัก  ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริงก็ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายระยะ ๒,๐๐๐ ปี  ก็เกิดถึง ๔ วาระแล้ว  นี่แค่สมัยความเป็นคนไทย  สมัยอื่นท่านจะไปเกิดที่ไหนอีกก็ไม่ทราบ

     เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๖๐๐ - ๗๐๐ ปี  พรหมพระเจ้ามังรายที่มาเกิดเป็นพระร่วงโรจน์ฤทธิ์ก็มีความสุขสบายมาก  มองมาดูประเทศไทย  ทนไม่ไหวเพราะพวกลูกๆ หลานๆ  ไม่สามารถรักษาความเป็นไทยไว้ได้  ตกอยู่ในอำนาจขอมอีก (ขอมนี้ไม่ใช่เขมร  พวกเขมรเป็นแขกอินเดียพวกหนึ่งที่ไม่เคยมีความเป็นตัวของตัวเองเลยจนปัจจุบัน)

     ท่านมองดูคนไทยเวลานั้นแวทนาไม่ไหวคิดว่า  "เราเหนื่อยเพื่อคนไทยมามากแต่วางมือไม่ได้  วางมือทีไรยุ่งทุกที"

     ท่านผกาพรหมอีกนั่นแหละมาเตือนว่า  "นี่พ่อพรหมร่วง  พ่อพรหมหล่น  จะมานั่งแหงแก๋อยู่ทำไม  แกลืมตาดูบ้างซิว่าคนไทนที่สร้างไว้น่ะ  สร้างความเป็นปึกแผ่นไว้น่ะ เดี๋ยวนี้เอาอีกแล้ว  พัง  ลงไปตามหน้าที่  ในฐานะปรารถนาพระโพธิญาณ"

     
"พระโพธิญาณนี่ต้องต่อสู้กับความทุกข์  เพื่อความสุขแก่คนอื่น"

     "จะมานั่งหน้าแช่มชื่นมีความสุขแบบนี้น่ะมันใช้ไม่ได้  ไม่ใช่วิสัยของพระโพธิญาณ"

     "เวลานี้ไทยเป็นทาส  ขอมมันใช้อำนาจเป็นธรรม  มีความร้ายกาจหยาบคายมาก"


     ท่านพรหมที่ไปจากพระร่วงรุ่งโรจน์ท่านก็ถามว่า  "จะให้ฉันไปคนเดียวหหรือ  มีใครลงไปช่วยด้วย"

     ท่านผกาพรหม  ตอบว่า  "จะส่งพรหม  เทวดาอื่นๆ ไปช่วยด้วย  คราวนี้ต้องขยายอาณาจักรไทยให้ถึงสิงคโปร์  ทางด้านเหนือจะส่งคนไปสะกัดด้านเหนือไว้ด้วย  ให้เขาสร้างความสามัคคี  แต่เริ่มต้น  ท่านต้องรีบไปเริ่มต้นไว้ก่อน"

     ท่านพรหมพระร่วงก็ถามอีกว่า  "ถ้าจะเริ่มต้นตอนนี้แล้วมันจะพังอีกไหมล่ะ  ถ้ามันจะพังอีกละก็  ไม่ต้องไปเริ่มกันละ  เลิก  เริ่มทีไรพังทุกที  เริ่มเมื่อไรก็พังทุกที  จะไปเริ่มมันทำไม  มันอยากเป็นขี้ข้าเขา  มันไม่รักชาติก็ช่างมัน"

     ผกาพรหมก็บอกว่า  "ไม่เป็นไร  ถ้าเริ่มตอนนี้ละก็  ไทยเป็นไทนตลอดไป  จะมีบ้างก็โขยกเขยกๆ  จะถึงขนาดพังเป็นทาสเขาทั้งชาตินี่ไม่มี  จะมีบ้างก็ตามกฏแห่งกรรมของสัตว์ที่มาเกิด"  นี่อย่านึกว่าพ่อรู้เองนะ  ท่านปู่มาบอกให้ฟัง

     ท่านพรหมพระร่วงท่านก็ตกลง  ลงมาเกิดเข้าท้องแม่ก็เริ่มอาละวาดทีเดียว  ท่านแม่แพ้ทองอยากจะกินเลือดขอม  เอาแล้ว  ท่านพ่อก็ไป เจอะขอมเซ่อๆ ซ่าๆ เตะพั้บฟันคอฉับเอาเลือดมาให้แม่กินสดๆ แหมมีกำลังแข็งแรงขึ้น  ผิวสวย  ใจดี  มีเมตตาน่ารักขึ้นกว่าเดิม  ผิวพรรณผ่องใส  แช่มชื่น  นี่หลังกินเลือดขอมแล้ว  ก็มีจริยาชดช้อยอ่อนหวานหว่านเครือ  แข็งแรง  คนท้องน่าจะอุ้ยอ้าย  แต่ปรากฏว่ามีความแข็งแรง  ฝึกอาวุธ  นั่น! แสดงตั้งแต่ในท้องแล้

     พอคลอดจากท้องแม่มาก็เป็นเด็กชายมีรูปร่างหน้าตาสดสวย  ผิวพรรณงดงามมีใฝแดงที่หว่างคิ้วขวา  อันนี้ท่านพ่อให้โหรมาดู  โหรทำนายว่าเด็กคนนี้มีบุญญาธิการมาก สามารถปูพื้นฐานรวมไทยได้ตลอดถึงแหลมมลายูโน่น

     ท่านพ่อทำพิธีให้ลูก  โดยนิมนต์พระมาสวด  ในบรรดาพระที่มาสวดนี่มีพระผู้เฒ่า ๒ องค์  ผิวคล้ำหน่อยเพราะธุดงค์มาด้วย  สวดเสร็จนั่งหลับตาปี๋  พอลืมตามาบอกว่า  เด็กคนนี้มาจากพรหม  หวังมากู้ชาติไทย  มีสหชาติมาเกิดด้วยคือ พ่อขุนน้าวนำถม  จะเป็นคนปูพื้นฐานไทยให้เป็นไทตลอดไป  ไทยจะไม่สลายตัว  เพราะเด็กคนนี้สร้างไทยให้เป็นไทมานานแล้วเมื่อคราวไทยย่อยยับ  จึงมาเกิดเพื่อรวมไทย

     พอหลวงตา ๒ องค์  ทำนายอย่างนี้  ของขวัญมากมาย  ท่านพ่อท่านแม่ก็เริ่มวางแผนเอาสิ่งของที่เขานำมาให้ลูกชายเก็บเป็นธนาคารไว้ทำทุนในการสร้างอาวุธ  ทำทุนฝึกอาวุธ  ฝึกระเบียบวินัย  ทำทุนการศึกษา  นี่ท่านพ่อเริ่มงานก่อน  ขอมมันก็คน  ไทยก็คน  มันวิเศษจริงมันก็อยู่  มันแย่มันตาย  เราไทยกับขอมมันต้องตายกันข้างหนึ่ง  นี่ท่านพ่อก็นักเลงเหมือนกัน  ลูกชายคนนี้ท่านตั้งชื่อว่า  "ขุนศรีเมืองมาน"


     ขุนศรีเมืองมาน โตขึ้นก็ทำงานคู่กันกับ พ่อขุนน้าวนำถม  ให้พ่อขุนน้าวนำถมเป็นคนอ่อนน้อมต่อขอม  แต่พ่อขุนศรีเมืองมานนี่เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่ถ้าขอมพูดไม่ชอบใจก็เอาเลยบอกว่า  "นี่ไทยนะ  ไทยก็คน  ขอมก็คน  ถ้าจะเอาอะไรก็เอาแต่เพียงดีๆ นะ  ถ้าใช้อำนาจแบบนี้มันต้องใช้ดาบกันก่อน  ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว  ไม่อยากตายละก็กลับไปก่อนแล้วมาพูดใหม่  ถ้าอยากได้คนที่เขากลัวแก  โน่น  ขุนน้าวนำถมโน่น  คนนั้นเขาก้มหัวให้แกได้ทุกอย่าง  แต่นี่ฉันขุนศรีเมืองมานไม่ได้มาเกิดแต่ตัวนะ  เอามือเอาเท้ามาด้วย  แกจะนึกว่าแกเป็นนายฉันนะที่ฉันยอมให้แกทำตามชอบใจได้ก็เพราะฉันถือว่า  มันเป็นประเพณีที่เคยเป็นมาก่อน  ถ้าไม่อย่างนั้นขอมมันก็คน  ไทยมันก็คน  ถ้าขอมฟันคอคนไทยขาดได้  ไทยก็ฟันคอขอมขาดได้เหมือนกันนะ"

    ตอนนี้ขอมชักถอยกรูด  ต่อมามีลูกมีหลาน  ขอมเห็นท่าไม่ได้การเลยเอาลูกเอาหลานไทยไปเป็นลูกเขย  ลูกสะใภ้  เพราะท่าทางจะแข็งเมือง

     เป็นอันว่าสมัยนั้นก็ฝึกปรือลูกหลานในการรบ  รู้จักรักคือรักความสามัคคีในชาติขึ้นชื่อว่าไทยด้วยกันอย่างโกงกัน  อย่าข่มเหงกัน  อย่าทำลายกัน  แม้จะโกรธกันก็ควรให้อภัยกน  ทั้งผู้หญิงผู้ชายควรจะฝึกอาวุธ  หาแหล่งทรัพยากร  สอนวิธีทำทองขุดทองด้วยมีความร่ำรวย  ขอมเห็นว่าไทยร่ำรวยก็มาขอให้ไทยส่งส่วยมากกว่าเดิม  พ่อขุนศรีเมืองมานจึงไปสัมพันธ์กับขอม (คือติดต่อพูดกับเขา) ว่า  "จะเอาส่วยมากกว่าเดิม  หรือไม่เอาเลย  ไอ้ที่ให้อยู่นี่ก็เบียดเบียนกันเกินไปแล้ว  ถ้าต้องการมากกว่านี้  ก็จะไม่ให้เลย"  ขอมทำตาปริบๆ เจอะคนบ้าเข้า  ขอมเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอก  "งั้นขอเท่าเดิม"  ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานก็บอกว่า  "เท่าเดิมก็จะให้  แต่จะให้ไปนานเท่าใดนั้นไม่แน่  อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปนะ  เราเป็นคนเหมือนกัน  ที่ให้ส่วยไปนี่ก็เอาเปรียบกันเกินไปอยู่แล้ว  ผืนแผ่นดินนี่ขอมไม่ได้สร้างไว้นะ  โลกนี้ขอมไม่ได้เป็นจ้าวโลกนะ  ขอมไม่ได้เอาดินมาถมให้เป็นโลก  อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไป  ที่ยอมอ่อนน้อมกันอยู่นี้ก็ถือเป็นประเพณีนะ  ถ้าไม่รักประเพณีเสียอย่างเดียวขอมจะไม่มีที่อยู่"  

     ความจริงนั้น  เราพร้อมรบ  แต่เรายังไม่รบ  เพราะพวกเราอายุมากไปแล้วให้ลูกหลานรบ  สั่งสอนลูกหลานคือ  พ่อขุนผาเมือง  กับ  พ่อขุนบางกลางท่าว  ให้รับประเพณีนี้ไว้

     เวลานั้น พ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๐-๔๐ ปี  ช่วงนี้  ภรรยาคือแม่ศรี ตาย  "แม่ศรีไหนล่ะท่านปู่"  ท่านบอกก็ พรรณวดีศรีโสภาค  เธอตาย  พ่อขุนศรีเมืองมานจึงบวชหน้าไฟให้เมีย  แล้วไม่สึกเลย  เวลานั้นมีเมียหลวงคนเดียวคือแม่ศรี  และมีเมียราษฏร์อีก ๒๙ คน  ไม่ไหว  บวชแล้วก็ไม่สึก  มอบหน้าที่ให้ขุนน้าวนำถมนำทีมฝ่ายฆราวาส  ฝ่ายพระก็ตั้งมหาวิทยาลัยการรบ  การปกครอง  การเศรษฐศาสตร์  การคลัง  สอนให้เด็กรู้จักความสามัคคี  รักในธรรม  ประพฤติธรรม

     แล้วหลังจากนั้น พระศรีเมืองมาน ก็ออกเดินธุดงค์ตั้งแต่เหนือยันนครศรีธรรมราช  เพราะท่านะทราบดีว่าคนไทอยู่เกลื่อนกลาดตลอดไปหมด  เป็นกลุ่มย่อยๆ  เวลาธุดงค์ไปก็เป็นคนเก่ง  ใครอยากได้คาถาอาคม  ค้าขายดี  เมตตามหานิยม  คงกระพัน  หนังเหนียว  มีทุกอย่าง  คนไทยชอบ  มาทำบุญใส่บาตรกันเป็นกลุ่มๆ ใหญ่ๆ ในเวลาเดียวกันท่านก็ปลุกระดมไปในตัว  ให้รู้จักว่า "เราเป็นคนไทยนะ  คนไทยด้วยกันต้องรักความสามัคคี  ต่อไปคนไทยต้องเป็นเอกราช  ไม่เป็นทาสขอม  ให้ทุกคนกลมเกลียวสามัคคีกันไว้  ฝึกปรือการรับไว้  ฝึกปรือการสร้างสรรค์เศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองเข้าไว้ด้วย  ทำมาหากินได้เก็บเข้าไว้  ถ้าเกิดสงครามเราจะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก  จะได้ไม่ลำบากในการอุปโภค  บริโภค"  นี่พระธุดงค์สมัยนั้น  นี่ถ้าจะไม่ใช่พระ  เขาเรียกเดินดง  ไม่ใช่ธุดงค์  เดินไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช  และไปยันสิงคโปร์  ใช้เวลาเป็นปี

     พอย้อนกลับมาอีกทีคนไทยดีขึ้นมาก  งานขั้นต่อมาก็ส่งเจ้าหน้าที่ให้พ่อขุนบางกลางท่าว กับ พ่อขุนผาเมือง  กลับมาถึงเมืองบอกลูกหลานว่า  "งานเสร็จแล้ว  ลงมือได้"

     พ่อขุนศรีเมืองมานมาเกิดเป็นวาระที่ ๕  นี่ก็สร้างสรรค์ความสามัคคีกันในความเป็นไทย  แล้วก็ไปอยู่ที่ วัดต้นจันทน์  ซึ่อยู่ในป่าลึก  ท่านก็เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน  แล้วก็ตายในระหว่างฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม  สบาย

     เกิดๆ ตายๆ  แบบนี้ไม่เป็นเรื่องลูกรัก  เป็นอันว่าบุคคลคนเดียวกันคือพระเจ้ามังรายมหาราชมาเกิดวาระที่ ๕ เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน  ลูกหลานก็ทำสงรามขับไล่ขอมไปจากแผ่นดินไทย  จนกระทั่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และแก่แล้ว  พระพ่อขุนศรีเมืองมานจึงตาย  การตายคราวนี้  ก่อนหน้าจะตายละภารกิจทั้งหมดปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม  ท่านเจริญพระกรรมฐานทรงฌานสมาบัติตายไปเป็นพรหม  หนีบาปไป

     จำไว้นะลูก  ว่า  "คนเราเกิดมาในโลกที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี  ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ชดใช้กันไม่ไหว  มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ  หนีบาป  การภาวนาให้จิตทรงตัว  การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักของพ่อทั้งหมดต่างคนต่างได้อภิญญาสมาบัติ  การทรงอภิญญาสมาบัตินี่ถือว่าเป็นคุณธรรมอันเลิศ  ยากที่บุคคลอื่นจะพึงทำได้"  (คำว่าบุคคลอื่นหมายถึงบุคคลภายนอก  แต่พราหมณ์เขาก็ทำได้)

     เมื่อได้อภิญญาสมาบัติแล้ว  จงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ให้ทรงตัว  พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการไว้ให้ครบถ้วน  พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด  จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน  มีพรหมวิหาร ๔ ใหห้ครบถ้วน  ทรงศีลให้บริสุทธิ์  มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว  เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมานี้  ลูกรักของพ่อจะไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป  การเกิดอย่างพระเจ้ามังรายที่เล่ามานี้ไม่เป็นเรื่อง

     ตอนนี้ไปนอนสบายอยู่ที่พรหม  มองดูไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยาวเหยียด  ไทยด้านเหนือ พ่อขุนรามคำแหงก็วางแผนดีเป็นมิตรกับพระขุนเม็งราย  เป็นเพื่อนกันดี  ฝ่ายใต้ตีไปจนถึงสิงคโปร์  การตีคราวนั้นไม่ยากเพราะเป็นการรวมไทยที่พ่อขุนศรีเมืองมานไปวางรากฐานแห่งความสามัคคีไว้แล้ว  รวมกันก็ง่ายเพราะคนไทยด้วยกันที่ขัดคอกันก็มีที่กระบี่เท่านั้นที่เขาสู้หนัก  นอกนั้นไม่เสียเลือดเนื้อ  ท่านก็นอนดูสบาย

     ต่อมาไม่ช้าไม่นานคนไทยเกิดแบ่งเป็น ๒ พวกซะแล้ว  ไทยเชียงแสนก็ยังอยู่ดี  แต่เกิดไทยอู่ทองขึ้นมาอีกแล้ว  ท่านพรหมมังรายเห็นไทยแยกเป็น ๒ พวกแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นไม้เรียวหนามเป็นอันๆ  ไม่ช้าไม่นานนักเขาก็จะหักทีละซี่ ๒ ซี่  ตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีซะแล้ว  ลูกหลานไทยนี่มันไม่รู้จักประสานกัน  ไม่มีความสามัคคี  การบ้าลาภ  บ้ายศนี่  มันเป็นของไม่ดี  บ้าความเป็นเป็นใหญ่  มองมามองไปเกิดรำคาญใจถ้าจะอยู่ไม่ได้  พอดีท่านท้าวผกาพรหมท่านก็มาบอกว่า (นี่ท่านปู่บอกนะ  เล่าเรื่องของพระเจ้ามังรายมหาราชนะ  ไม่ใช่ประวัติของหลวงพ่อ  พระเจ้ามังรายนี่ท่านเป็นคนขยันเกิด  แต่คนอื่นก็อาจจะขยันเกิดอย่างพระเจ้ามังรายเหหมือนกัน)

     ท่านผกาพรหมก็บอกว่า  "นี่พ่อพรหมจ๋า  ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ  พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในประทศไทย  แต่ถ้าไทยยังแตกกันอยู่อย่างนี้เพียงใด  พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้   เพราะถ้าไม่มีคนนับถือ  ไม่มีคนปฏิบัติตาม  พระพุทธศาสนาเกิดไม่ได้  ฉะนั้นท่านต้องกลับลงไปรวมไทยเดิมให้เป็นไทยเตามดิม"  เอาอีกแล้ว  ท่านองค์นี้ขยันเตือนจริงๆ จะลงมาเกิดเองก็ไม่ลงมา  จึงถามท่านว่า  "จะไปลงที่ไหนล่ะ"

     ท่านผกาพรมบอกว่า  "โน่น  ไปลงที่อู่ทอง  ไปหาทางเข้าครองเมืองให้ได้  เป็นกำลังใหญ่ของเมือง  อย่าเพิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน"

     ถามว่าจะจัดใครลงไปบ้าง  ท่านผกาพรหมก็บอก  จะจัดเทวดา  พรหม  ลงมาช่วยพอสมควร  แหม  ท่านผกาพรหมนี่มีหน้าที่จัดอย่างเดียว  น่าจะแต่งเป็นประธานาธิบดีพรหมจัด  ประเภทจัดให้คนอื่นเขาทำงาน  แต่ตัวเองไม่ทำน่ะ"

     นี่  พอคุยละมายืนต่อว่า  "มันเป็นหน้าที่ของพระเจ้ามังรายเขา  เขามีความปรารถนาอย่างนั้น  ก็คอยบอกให้เขาทำอย่างนั้น"

     เป็นอันว่า พรหมมังราย  ก็ลงมาเกิดเป็นวาระที่ ๖  ในช่วงระยะเพียง ๒,๐๐๐ ปีเศษ  เกิดในเมืองอู่ทอง  เขาให้นามว่า  "ขุนหลวงพ่องั่ว"  ตอนนี้หาทางรวมไทยเข้าด้วยกัน  ใช้วิธีการทัง ๒ อย่าง คือ  รบด้วยอาวุธ และ รบด้วยลิ้น  การรบด้วยลิ้นถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการรบด้วยอาวุธ  เมื่อหาทางไปตีสุโขทัยเข้ามารวมกันไม่ได้  ก็เจรจาเป็นเพื่อนกันดีกว่า  เพราะตอนนี้พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ที่หนองโสนแล้ว

     ขุนหลวงพระงั่ว เข้าไปหา พระเจ้าลิไท  เจรจากันว่า  "คนไทยเรานับถือพุทธศาสนา  และเวลานี้  พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจัดกระจายไป  เราควรจะรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่  จะได้เป็นหลักฐานในการสร้างความดีของคนไทย"

     พระเจ้าลิไทท่านก็เป็นคนดี  บอก  โอ.เค. ด้วย  ไม่ถือโทษโกรธเคืองที่เคยยกทัพไปตีท่าน

     ต่อมามีการนิมนต์พระสงฆ์ไปรวบรวมพระธรรมวินัย  ใครรู้อะไร  ใครมีตำราอะไร  ก็มารวบรวมกันไว้

     ต่อมาท่านก็คิดว่า  ควรจะให้คนไทยรู้จักบาปรู้จักบุญ  จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง  "ไตรภูมิพระร่วง"  ขึ้น  การร่างไตรภูมิพระร่วงนี่  ความจริงพระร่วงไม่ได้ทำ  ท่านเป็นเพียงศาสนูปถัมภ์  มีขึนหลวงพระงั่วไปร่วมกับบรรดาพระสงฆ์ที่นิมนต์มาด้วย  เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัย และ กรุงศรีอยุธยา

     และต่อมาก็ได้ร่วมกันอีก  สร้างพระพุทธชินราช  สร้างพระพุทธชินสีห์  และสร้างพระศากยมุนี ขึ้นมาเป็นมิ่งขัวญของเมืองไทย  เป็นการแสดงสัญญลักษณ์ว่าประทศไทยจะทรงตัวอยู่ได้ด้วยเหตุ ๓ เส้าด้วยกันคือ ชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์

          พระพุทธชินราช     หมายถึง     พระมหากษัตริย์

          พระพุทธชินสีห์       หมายถึง     พระศาสนา

          พระศากยมุนี          หมายถึง     ชาติ

     การสร้างครั้งนี้ก้เป็นหน้าที่ของ  ท้าวโกสีสักกะเทวราช  ให้พระวิษณุกรรมมาช่วย  นี่ท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้นะ  ถ้าใครไม่เชื่อก็ไปเอาคนตายมาถามดูก็แล้วกัน

การจุติสร้างพระบารมีของสัพเกษีโพธิสัตว์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น