วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สมเด็จพระพุทธกัสสป

 
สมเด็จพระพุทธกัสสป
ทรงตรัสกับหลวงพ่อว่า


     นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงเป็นอย่างนั้น ฉันไปเห็นมาแล้วก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก สมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านให้บอกท่านตรัสอีกว่า

     "เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเอาไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคน เขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลก เขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั้นดี และวิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน

     สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะ ว่าให้ทุกคนรู้ตัวว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เมื่อเวลาเขาทำความชั่วมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่า นี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่งไวในใจ แล้วตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

     พวกที่จะไปพรหมโลก ก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าก็ได้หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอ
เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่
     ที่นี้คนไหนต้องการไปพระนิพพาน ก็เป็นของไม่ยากสัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้ร่างกายของเราเอง เราก็ไม่ชอบ ไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพทรงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่าถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่าโลกนี้ทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันมาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการเราจะไปนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษีนะลูกหลานของเธอทุกคนจะพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไป กามาพจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไป พรหมโลก อย่างดีก็ไป
พระนิพพาน"
     นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ สวัสดี
 
     "เมื่อวานนี้ คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา และลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่า แต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ คุณต้องบอกเขาซิ บอกเขาว่า ทุกคนที่เป็นบริษัท ของคุณน่ะ เขามีวิมานชั้นแก้ว ๗ ประการด้วยกันทุกคนแล้ว เป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม ใครเขาจะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ว่าที่ทำ ทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่จำใจทำนะคำว่า บริษัทของคุณ น่ะหมายความว่า ที่เขามีความเลื่อมใสในคุณจริงๆ มีความเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วเขามีความเลื่อมใสจริงๆอย่างนี้เรียกกันว่า บริษัท

     บริษัท แท้ๆ ที่มีความมั่นใจในตัวคุณจริงๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการกันหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ ๒  สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้นมันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกันด้วยอำนาจบุญบารมี คือกำลังของใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่า วิมานแต่ละวิมานก็มีความสวยสด ความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมาน บริเวณน่ะกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาดวิจิตรตระการตานี่ก็เรียกว่า ความงามของแต่ละวิมานน่ะ พรรณากันไม่ถูก"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น