วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ท่องแดนเปรต

 เปรตภูมิ

เป็นที่อยู่ของพวกที่ทำบาปเบากว่า พวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เพราะนรกเป็นเรื่องการถูกทรมาน ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามกรรมที่ได้ทำไว้ ส่วนเปรตเป็นเรื่องของการถูกทรมาน ด้วยการอดอยากหิวโหย เช่น การอดข้าวอดน้ำ เปรตบางชนิด ต้องกินหนองเลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร

 ที่อยู่ของเปรต
เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่ว ๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น เปรต เป็นประเภทโอปปาติกกำเนิด ประเภทกายละเอียดที่ผลุดขึ้นโตทันที เราจึง มองไม่เห็น นอกจากเขาจะใช้พลังจิต กำหนดกายให้หยาบจึงจะมองเห็นได้

 ชนิดของเปรต
 เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายได้ เป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่า เป็นเทวดา เป็นชายหญิง หรือพระ เณร จริง ๆ เจตนาของการแปลงกาย ก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้าย ให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็น วัว ควาย ช้าง สุนัข มีทั้งสีดำ แดง เทา รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว พระธุดงค์หรือผู้ปฏิบัติธรรมในป่า มักจะพบเห็นกันเสมอ ๆ

อาหารของเปรต
เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกขเวทนา คือการอดข้าวอดน้ำ เปรตบางพวกจึง เข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย ของโสโครกต่าง ๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่า เปรตที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฎ นอกจากจะอดอาหารแล้ว ยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย

เปรตประเภทต่าง ๆ
ตามที่พระอรรถกถา และพระคัมภีร์ แสดงไว้ แสดงเรื่องเปรตไว้ ๔ จำพวก คือ

ท่องแดนอสุรกายภูมิ

อสุรกายภูมิ
          เป็นภูมิของโอปปาติกกำเนิด อีกมติหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำบาปไว้และต้องไปเสวยผลของบาป มีชีวิตเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นฝืดเคือง ขาดเครื่องอุปโภคบริโภค ทุกข์ยากลำบาก กาย จิตใจหดหู่เหี่ยวแห้งไม่สนุกสนานรื่นเริง เข้าในลักษณะที่ว่าหน้าเศร้าอกตรม
อสุรกายภูมิ   แบ่งออกเป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ คือ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถอดรหัส ส.ค.ส.พระราชทาน ๒๕๔๗

ถอดรหัส
ส.ค.ส.
พระราชทาน
๒๕๔๗
 
ส.ค.ส.ดังกล่าว ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์
มีข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ.2547 สวัสดีปีใหม่
ใต้ลงมาเป็นภาพแผนที่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีน
บนพื้นที่เป็นภาพตารางช่องเล็กๆ ด้านบนทั้งสองด้านมีเสาธงปักอยู่
มีภาพระเบิดและควัน ล้อมรอบคาบสมุทรอินโดจีน อยู่ทั้ง 4 ด้าน
ด้านบนซ้าย มีข้อความว่า มีระเบิดเกือบทั่วโลก
ใต้ภาพระเบิดลงมาเป็นภาพเรือสำเภาขนาดใหญ่ แล่นมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ที่ใบเรือด้านหลังมีอักษร ม.ช. ปรากฏอยู่

บนคาบสมุทรอินโดจีนเป็นภาพแผนที่ประเทศไทยสีขาว
ที่ขนานกับส่วนที่เป็นด้ามขวาน เป็นเส้นตรงสามเส้น
บนแผนที่ประเทศไทยมีข้อความว่า
 “สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย” เส้นตรงทั้งสามเส้นนั้น เปรียบเป็นเสาหลักของประเทศ




ขณะที่ความสามัคคีของคนในชาติ
เป็นพลังที่ร่วมกันค้ำจุน
ให้ประเทศไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง
ด้านล่างลงมามีข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ
บรรทัดต่อมาเป็นอักษรภาษาอังกฤษว่า
Happy New Year
และมีภาพสุนัข ขนาบข้างละตัว

กรอบล่างด้านใน มีข้อความว่า ก.ส. 9 ปรุง 291929 ธ.ค.2546
มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ บ้านเชียง
และมีภาพสุนัขขนาบ 2 ข้างคำว่า ห้าพันปี
ตัวหนึ่งไม่มีปลอกคอ อีกตัวหนึ่งมีปลอกคอ
ส่วนกรอบล่างด้านนอก เป็นภาพสุนัขขนาดลดหลั่นกันรวม 7 ตัว
ตัวใหญ่สุดยืนเต็มตัวอยู่ด้านซ้าย ตัวถัดไปค่อยๆ ย่อตัวลง
และขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ จนถึงตัวสุดท้าย
ด้านขวาสุดเป็นสุนัขตัวเล็กนอนหมอบอยู่



ถอดรหัส 

1 มีระเบิดเกือบทั่วโลก
2 ระเบิด 4 ทิศ


ประเทศไทย และโลกใบนี้ จะเสื่อมทรุดลงไปเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม คุณธรรม และจะมีวิกฤติที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ ๔ ประการ (ลูกระบิดทั้ง ๔ ลูกใน สคส) ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเตือนคนไทยผ่าน สคส. พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้ว

๑. วิกฤติสิ่งแวดล้อม (Environmental Crisis) ภัยธรรมชาติ ฟ้าดินลงโทษ อากาศแปรปรวน ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของผิวโลก สารพันปัญหา จะหนักขึ้นเรื่อยๆ โรคระบาด ทั้งในคน ในพืชที่เป็นแหล่งอาหารของคนและสัตว์ โรคระบาดในสัตว์ ท่านลองทบทวนดูว่า เกิดโรคระบาดอะไรบ้าง ที่ยังไม่มียารักษา ทั้งโรคที่ไม่ระบาด ฯลฯ

๒. วิกฤติสังคม (Social Crisis) โรคเสื่อมคุณธรรม ภัยสังคม ยาเสพติด อาญชญากรรม ปัญหาเยาวชน ปัญหาคอรัปชั่น ฯลฯ

๓. วิกฤติเศรษฐกิจ (Economic Crisis) ข้าวยากหมากแพง ทุกวันนี้ สังคม "บ้าเงิน บ้าวัตถุ บริโภคนิยม เงินนิยม บันเทิงนิยม สุขนิยม" มุ่งกำไรสูงสุด เบียดเบียน แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เห็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพียง ทรัพยากร (มนุษย์) เห็นเพื่อนมนุษญ์เป็นสินค้า เป็นผู้บริโภค ผู้ขายมีหน้าที่ ในการกระตุ้น กิเลสของเพื่อนมนุษย์ วิกฤติเศรษฐกิจลุกลามไปทั่วโลก (ค่าเงินทุกประเทศรอบบ้านเราตกต่ำอย่างที่เห็น) อีก ๑๐ ปีข้างหน้า เงินทองจะไม่มีค่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง" ฯลฯ

๔. วิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง การปกครอง (Political Crisis) ขัดแย้งแย่งชิงน้ำ อาหาร ที่ดิน เมล็ดพันธุ์พืช ขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ ทางศาสนา และวัฒนธรรม ผู้คนจะเข้าประหัตประหารกันไม่มีวันจบสิ้น วิกฤติการเมืองภายในประเทศและระหว่างประเทศ สงครามนิวเคลียร์ สงครามเชื้อโรค ฯลฯ

3 มช

เรือสำเภาที่มีอักษร มช แล่นมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึง เรือ"โนอาห์" เวอร์ชั่นแบบไทยพุทธ มช คือ มหาวิชชาลัยปูทะเลย์ อันเป็นที่อยู่แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่ ที่จะขนคนที่มีเสบียงบุญ เล่นฝ่าทะเลไฟแห่งวัฏสงสารไปสู่ฝั่ง

อีกนัยยะก็คือ หากนับไปอีก 7ช่อง เรือสำเภาลำนี้จะเล่นไปถึงฝั่ง บริเวณภาคเหนือของประเทศไทยที่ มช. "เมืองเชียงใหม่"

4 สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย 

หากขาดความสามัคคี อนาคตประเทศไทย จะแตกออกเป็นอย่างน้อย ๕ ประเทศ เพราะวิกฤติต่างๆ เราจะแก้ปัญหาแบบหายใจหายคอไม่ทัน ทั้งปัญหาภายใน ปัญหาภายนอก ทั้ง ๔ เรื่อง

5 เสาสามเสา 

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดิน

6 มหาวิชชาลัยปูทะเลย์ + 8 ห้าพันปี 

สคส.ฉบับนี้ มีความเชื่อมโยงกับ "พระราชนิพนธ์พระมหาชนก" เป็นปริศนาธรรมที่ รอพระปราชญ์ นักปราชญ์ พระดีคนดีในสังคม ร่วมกันไขปริศนา และรอทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันประดิษฐาน "มหาวิชชาลัยปูทะเลย์" อันเป็นที่อาศัยแห่งความรู้อันยิ่งใหญ่นำมาซึ่งการปฎิวัติระบบการศึกษาและนำพาประเทศไทยให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา และยั่งยืนอยู่ได้ถึง ๕๐๐๐ปี

7 บ้านเชียง
ชุมชนพอเพียง ชุมชนพุทธ ที่พึ่งพาตัวเองได้100% ทั้งปัจจัย4 และพลังงาน มีความพร้อมทั้งกายภาพและองค์ความรู้ มีเสบียงบุญและความสามัคคีของคนในชุมชน อันเป็นปัจจัยที่จะสามารถฝ่าวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ "มีระเบิดเกือบทั่วโลก"

ซึ่งน่าเห็นใจคนเมือง ซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ แต่สถานการณ์ต่างๆจะทำให้คนที่พอจะมีบุญจะทยอย อพยพย้ายเข้าสู่ชนบท

9 คุณทองแดงจำนวน ๗ ตัว ที่ค่อยๆหมอบและตัวเล็กลง

ระยะเวลาที่เหตุการณ์มีระเบิดเกือบทั่วโลกจะทยอยปะทุขึ้น รวมถึงความจงรักภัคดีต่อสถาบันจะลดลงตามระยะเวลาดังกล่าวด้วย ซึ่งหมายความว่า พระปราชญ์ นักปราชญ์ผู้ที่พอจะมีสติปัญญา ตีความ สคส.ฉบับนี้ออก จะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือวิกฤติดังกล่าว ๗ ปี ซึ่งก็คือ ๒๕๔๗+๗ นั่นก็คือ๒๕๕๔ !!

ซึ่งหมายความว่า ขณะนี้ พวกเราเหลือเวลาอีก อย่างน้อยไม่ถึง๒ ปี ในการเตรียมการรับวิกฤติดังกล่าว

ซึ่งเรื่องเช่นนี้บอกกันตรงๆไม่ได้ พระองค์จึงแฝงไว้เป็นปริศนาธรรม
แบบนอสตราดามุส ที่ให้คนตีความ หากนับระยะเวลาที่พระองค์พระราชนิพนธ์ พระมหาชนก และ ท.เศรษฐกิจพอเพียงแล้ว พระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า ๒๕ ปี และทางออกทางรอดของคนไทย ได้อยู่ในพระราชนิพนธ์เรื่องนี้แล้ว

ข้าพเจ้าตีความและถอดรหัสถูกผิดเช่นไร โปรดพิจารณา
หากท่านเห็นพ้อง โปรด "เริ่มด้วยช่วยกัน" คิดหาหนทางร่วมนำสังคมไทย ฝ่าวิกฤติและนำพาประเทศชาติให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง

อนุโมทนา

ธัมมะอาสา

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถือศีลแต่ตกนรก



ถือศีลแต่ตกนรก

  เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการบังควรที่หลับตาภาวนาเพื่อให้ได้ฌานเลย ผู้ที่ปฏิบัติไม่ตรงต่อสัจธรรมจึงเป็นผู้ที่วุ่นวายสับสนหนความสงบได้ยาก เพราะความฟุ้งเฟ้อแห่งจิตที่วิ่งไปตาม อายตนะทั้งหกไม่หยุดหย่อน ผู้ที่ไม่พบธรรมญาณ จึงถูกหลอกลวงด้วยอำนาจจิตของตนเองโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาประพฤติปฏิบัติแบบลวงโลกและยึดถือสิ่งลวงเป็นสิ่งจริง อำนาจจิตสามารถ สร้างรูปมากมายโดยที่ตนเองหารู้ไม่ว่ารูปเหล่านั้นเป็นมายากลับยึดถือเอาไว้และการแสดงออกย่อมผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติแท้ของธรรมญาณ การปฏิบัติที่ตรงต่ออารมณ์ความชอบของ ตนเองย่อมเบี่ยงเบนไปจากสัจธรรม ความคิดจึงเป็นอย่างหนึ่ง การกระทำจึงเป็นไปอีกอย่างหนึ่งไม่ตรงต่อความคิด วาจากลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าใครที่มีภาวะเป็นเช่นนี้ความสับสนและ ความทุกข์ย่อมครอบงำธรรมญาณ จนห่างไกลไปจากหลักของสัจธรรมตกไปสู่วัฏจักร์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป


  คำกล่าวของพระอริยเจ้า เหลาจื๊อ แสดงให้ประจักษ์ชัดมานานนับเป็นพันๆ ปีว่า "ธรรมแท้ ไม่อาจกล่าวออกมาเป็นวาจาได้ ที่กล่าวออกมาจึงมิใช่ธรรมะ" การแสดงออกทั้งปวงที่ที่ปรุง แต่งออกมาจากจิตจึงผิดเพี้ยนไปจากธรรมะเพราะฉะนั้นฌาน ตามธรรมชาติของธรรมญาณ จึงไม่อาจปรากฏออกมาได้ ญาณ ที่กำหนดขึ้นด้วยจิตของตนเอง ย่อมผิดแผกไปจาก ฌานที่มี อยู่แล้วในธรรมญาณ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญที่กำหนดญาณด้วยแรงภาวนาของตนเองจึงเป็น ฌาน เกิดขึ้นได้และเสื่อมได้เช่นกัน เพราะเป็นฌาน ที่กำหนดด้วยรูปแบบจึงมิใช่ของ จริงตามสัจธรรม ศีลและฌาน จึงมีอยู่แล้วตามธรรมชาติของธรรมญาณ เพียงแต่ค้นพบธรรมญาณของตน ทุกสิ่งอย่างก็จักบริบูรณ์ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วมิใช่หรือ

จิตเดิมแท้

จิตเดิมแท้
 "ธรรมญาณ" เป็นรากฐานเดิมตามธรรมชาติแท้ของจิต ยากที่จะอธิบายสภาวะนั้นด้วยภาษาคนเพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "จิตเดิมแท้" แต่ในที่นี้เรียกว่า "ธรรมญาณ" อันเป็นญาณ ที่มาจากธรรมชาติดั้งเดิมแท้จึง การค้นพบภาวะ "ธรรมญาณ" ของตนเองจึงเป็นเรื่องที่ลึกล้ำและยากนัก ท่านหงเหยิ่นพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า จึงเรียกประชุมศิษย์ทั้งปวงแล้วกล่าวว่า "การเวียนว่ายตายเกิดเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่มีใครเอาใจใส่แทนที่จะหาหนทางพาตัวเองให้พ้นไปจากทะเลทุกข์แห่งการเวียนเกิดและเวียนตายอันไม่มีที่สิ้นสุด กลับพากันหมกมุ่นอยู่ แต่บุญกุศล ที่มีตัณหาชักนำอันเป็นต้นเหตุให้เกิดใหม่ ถ้าธรรมญาณยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งปวงก็หามีประโยชน์อันใดไม่ จงตั้งใจค้นหาปัญญาของตนเองแล้วเขียนโศลกว่าด้วยเรื่องของ " ธรรมญาณ" ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า "ธรรมญาณ" นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่ง พระสังฆปริณายก พร้อมทั้งธรรมะอันเป็นคำสอน เร้นลับแห่งนิกายเซ็น และจะสถาปนาขึ้นเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งนิกายเรา อย่ามัวรีรอตรึกตรองเพราะไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์อะไร ผู้ที่รู้แจ้งชัดใน "ธรรมญาณ" จะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนคุยด้วยและมันไม่เลื่อนลอยไปจากธรรมจักษุของเขา แม้จะชุลมุนวุ่นวายอยู่ท่ามกลางสนามรบก็ตาม "


  วจนะของท่านหงเหยิ่นเป็นความจริงจนถึงการสมัยปัจจุบันมนุษย์ยังคงเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์โดยมิได้รู้สึกว่ากำลังจมอยู่ในห้วงทะเลแห่งการเกิดและตาย เขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงปัญหานี้ ก็ ต่อเมื่อความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า และพากันบอกหนทางโดยหวังว่าจะช่วยให้พ้นไปจากนรกอเวจีและเชื่อว่าบุญกุศลที่ได้สั่งงสมเอาไว้ทำให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเก่า การสร้างบุญกุศลเช่นนี้ กระทำได้ง่ายกว่าการใช้ปัญญาค้นคิดหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์อันเกิดจากเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์จึงมี "บุญ" และ "บาป" เป็นเหตุปัจจัยให้ไปเวียนเกิด-ตายเพื่อไปรับผลอันมา จากเหตุที่ตนเองสร้างไว้ไม่มีที่สิ้นสุด การสร้างบุญจึงไม่ต่างอะไรกับการหาเงินฝากธนาคารเอาไว้เป็นของตน เมื่อใช้จนหมดแล้ววิถีแห่งชีวิตก็ต้องยากจนลงไปเหมือน "กินบุญ" หมด แล้วจึงไป "รับบาป" ชดใช้หนี้สินหมดแล้วจึงไป "กินบุญ" เวียนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ไม่เข้าใจทุกข์แห่งการเกิดและตาย จึงทำบุญด้วยการอยากเกิดใหม่ เพื่อให้ได้ชีวิตที่ดีกว่าเท่า นั้นเอง วิถีแห่งชีวิตจึงไม่พ้นไปจากวัฎสงสาร เพราะตัณหาเป็นตัวชักนำ
  แม้แต่พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายการเกิด-ตาย ทรงเล็งเห็นเป็นความทุกข์อันแท้จริงจึงทรงสละฐานันดรกษัตริย์ ซึ่งปุถุชนเห็นเป็นความสุขสมบูรณ์อันสูงงสุดทิ้งเสีย และทรงค้นคว้าหา หนทางที่สามารถไปพ้นจากทะเลทุกข์ ทรงลำบากตรากตรำทั้งปฏิบัติและศึกษานานถึง 6 ปี เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหก พระพุทธองค์ทรงค้นพบ "ญาณทวาร" และ "วิถีจิต" อัน เป็น "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" "ญาณทวาร" เป็นประตูวิเศษอันเร้นลับ ซึ่งพระพุทธทีปังกรเคยพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปน์ได้นิมิตเป็นแสงดาวสว่าง วาบตรงจุดนั้น "วิถีแห่งจิต" เป็นหนทางอันตรงต่อประตูวิเศษซึ่งเป็นทางสายกลาง "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" เป็นปัญญาอันยิ่งเพราะรู้ถึง "ธรรมญาณ" ซึ่งพ้นไปจากการเวียนว่าย ตายเกิดอันแท้จริง เพราะสภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" นั้น มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" และไม่อาจนำเอาบัญญัติใดๆ ในโลกนี้มาเทียบเคียงหรืออธิบายให้ใครเข้าใจได้เลย เพราะ สภาวะนั้นพ้นไปจาก "รูป" และ "นาม" "อนุตตรธรรม" ที่พุทธองค์ตรัสรู้จึงเป็นเรื่องรับรสได้เฉพาะตนแต่เหตุไฉนตลอด 45 พรรษา พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้ พ้นทุกข์ได้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้แนะหนทางเท่านั้น ส่วนการเดินไปสู่จุดหมายปลายทางล้วนต้องประคองจิตด้วยตนเองทั้งสิ้น และเพื่อมิให้ "อนุตตรธรรม" สูญหายไปจากโลกนี้ พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดประตูวิเศษนี้ไว้ด้วยวิธีอันเร้นลับ มิได้ถ่ายทอดโดยเปิดเผย สมกับคำกล่าวโบราณที่ว่า "ไม่รู้ถึงหูที่หก"
  สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางสงฆ์สาวกล้วนเป็นพระอรหันต์ 1,250 รูป ณ ภูเขาคิชฌกูฏ แห่งกรุงราชคฤห์ และมิได้ตรัสประการใด จึงมีผู้ทูลอาราธนาว่า "ข้าแต่ พระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุไฉนวันนี้ พระองค์จึงมิได้ตรัสเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เลย" ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งแล้วตรัสว่า "ตถาคตมีธรรมจักษุอันละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ อยู่ในครรโภทร…"
  ที่ประชุมสงฆ์สาวกทั้งนั้น มีแต่พระมหากัสสปะซึ่งเป็นผู้สูงอายุหน้าตายับยู่ยี่ด้วยเร่งบำเพ็ญเพียรจนไม่เคยยิ้มเลยตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงรหัสตรัสเช่น นี้จึงรู้ได้ด้วยไวปัญญา พระมหากัสสปะจึงยิ้มครั้งแรกในชีวิตและแสดงกริยาก้มหน้าเป็นการตอบรับ พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า "ตถาคตได้ส่งมอบธรรมะนี้แก่พระมหากัสสปะแล้ว" พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ จึงทรงแลกบาตรและจีวรกับพระมหากัสสปะ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือบรรดาพระอรหันต์ทั้ง 1,249 รูป นั้นมิได้รู้ อนุตตรธรรม เหตุไฉนจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้เล่า คำตอบอยู่ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและ ประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้ เช่นเดียวกับพระมหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง "ประตูวิเศษ" แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง "ทวารวิเศษ" บรรดาสงฆ์ สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเองในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึง "ทวารวิเศษ" นี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร เมื่อพระมหากัสสปะได้รับการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ" และ ประคองจิตของตนเองอยู่ในหนทางสายกลาง จึงย่อมเสมอเหมือนพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรของพระพุทธองค์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ ของอนุต ตรธรรม" สืบต่อกันมาจนถึงพระธรรมาจารย์ หงเหยิ่น องค์ที่ห้า ในครั้งนั้นพระมหากัสสปะจึงเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่หนึ่งซึ่งได้รับรู้ "ประตู" ของ "ธรรมญาณ" อันเป็นหน ทางแห่งอนุตตรธรรม นั่นเอง

สิ่งจอมปลอมและพฤติกรรมลวงโลก


แฉ....!! สิ่งจอมปลอมและพฤติกรรมลวงโลกในประเทศไทยเรื่องสิ่งจอมปลอมกับพฤติกรรมลวงโลก มิใช่เรื่องที่ผู้เขียนคิดแล้วเขียนขึ้นมา
แต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้ไปฟังการบรรยาย ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ (รอยัล) ถนนราชดำเนิน
นอก จัดโดยสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย วิทยากรเป็นหนึ่งในกรรมการของ
สมาคมฯ ซึ่งในบางเรื่องผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่บางเรื่องผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งผู้เขียนก็
เชื่อว่าผู้ที่มาฟังการบรรยายส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างจากผู้เขียน มิใช่ใครจะมาครอบงำกัน
ง่าย ๆ เพียงแต่เราควรติดตามเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ทันสมัย โดยวิทยากรอ้างว่า
มีหลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ โดยนำเอาหลักฐานจากทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายืนยัน
แต่ในระหว่างการบรรยาย วิทยากรก็บรรยายว่า บทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วิทยากรได้ไปตรวจสอบแล้ว เช่น เรื่องลี้ลับใต้บาดาลเขียนโดย กิเลน ประลองเชิง
เกือบทุกเรื่อง เป็นเรื่องโกหกเชื่อถือไม่ได้เลย พร้อมทั้งแขวะสมาชิกสมาคมค้นคว้าทาง
จิตฯบางคน มีอาการโรคจิตประสาท หลงงมงายเรื่องไร้สาระ ข้อมูลคนอื่นเป็นข้อมูลไม่
จริง ข้อมูลวิทยากรเป็นข้อมูลจริง และเชื่อถือได้
ผู้เขียนไม่อยากจะเอ่ยชื่อว่า วิทยากรท่านนี้เป็นใคร ความจริงก็รู้จักกับผู้เขียน
มามากกว่า 10 ปี ก่อนที่จะมาพบกับผู้เขียนในสมาคมฯ แห่งนี้ ถ้าการบรรยายเป็นการ
ให้ความรู้ในอีกแง่มุมหนึ่งของการค้นคว้า โดยไม่ดูถูกภูมิปัญญาของสมาชิกสมาคมฯคน
อื่นก็น่าจะดีมาก แต่การบรรยายที่ดูถูกภูมิปัญญาผู้ฟังและสมาชิกสมาคมฯด้วยกันไม่
ค่อยจะน่ารักเท่าไร
ผู้เขียนมิได้มีอคติใด ๆ กับวิทยากรผู้บรรยาย และเห็นว่าเนื้อหาสาระบางตอนก็
เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์แก่สังคม ที่จะช่วยขจัดโมหะ ความหลงเข้าใจผิดในสิ่งต่าง ๆ ของ
คนในสังคมไทย ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีมาก เพียงแต่วิทยากรผู้บรรยาย ควรเข้าใจว่า “สรรพ
ความรู้ในโลกนี้ ในโลกแห่งความเป็นจริง มิใช่มีปรากฏอยู่แต่ในพระไตรปิฎก
เท่านั้น สิ่งใดที่ไม่มีในพระไตรปิฎกมิใช่ว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องเท็จ เรื่อง
หลอกลวงหมด” ผู้เขียนขอมองต่างมุมและขออ้างพระไตรปิฎกเช่นกัน แต่ไม่ขออ้างว่า
สิ่งจอมปลอมกับพฤติกรรมลวงโลก
เป็นพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร เพราะพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปก็คงได้ยินมาแล้ว
ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า “ความรู้ของพระพุทธองค์นั้นมีมากมาย ประดุจ
ใบไม้ในป่าใหญ่ แต่พระองค์ท่านนำความรู้มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ เพียงเท่าใบไม้
ในกำมือเดียว”
หรืออาจกล่าวอุปมาได้ว่า “ความรู้ในพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์
ก็เพียงเป็นความรู้เล็กน้อยเท่ากับความรู้ในกำมือเดียวของพระพุทธองค์ของเรา
ที่นำมาสอนเท่านั้น ความรู้ที่มีอยู่จริงที่พระพุทธเจ้าของเรารู้มีอีกมากมาย
มหาศาลมีมากกว่า 84,000 พระธรรมขันธ์ มิใช่มีเพียงแต่ในพระไตรปิฎก
เท่านั้น เพียงแต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ต่อการหลุดพ้นเท่านั้น
พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้นำมาสอน”
ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับวิทยากรผู้บรรยาย ซึ่งเป็นกรรมการ
สมาคมค้นคว้าทางจิตฯว่า สิ่งใดที่ไม่มีบัญญัติในพระไตรปิฎกทุกอย่างเป็นเรื่อง
เท็จ เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหมด
แต่ ผู้เขียนก็ไม่ปฏิเสธว่า สิ่งที่วิทยากรผู้บรรยายกล่าวถึง ในหลาย ๆ ส่วน
เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงจริง เป็นเรื่องจอมปลอมจริง การนำเรื่องหลอกลวงมาตีแผ่บ้าง
ก็เป็นสิ่งที่ดี จะได้ช่วยลดโมหะจริต ความหลงผิดของพุทธศาสนิกชนให้ลดลง ทั้งนี้
ก็อยู่ที่วิจารณญาณของท่านผู้อ่าน จะพิจารณาเองว่า ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ แค่ไหน
เพียงไร เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคล
วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวว่า มี 10 สิ่งจอมปลอมในสังคมไทย คือ
1. พระพุทธเจ้าปลอม               

2. พระธรรมปลอม                    
3. พระอรหันต์ปลอม
4. ผู้วิเศษปลอม 5. พระภิกษุปลอม    
6. ร่างทรงปลอม
7. เครื่องรางของขลังปลอม
8. ปรากฏการณ์ลี้ลับปลอม
9. อาจารย์พลังจิตปลอม
10. สื่อโฆษณากระบวนการหลอกลวง
วิทยากรบรรยายว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์จอมปลอม หรือผู้ที่หลอกลวง หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็กระทำเพื่อหวังลาภ/สักการะ
- ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีอิทธิฤทธิ์จริง ไม่ต้องการลาภสักการะ แต่ต้องการอำนาจความเป็นใหญ่
- แต่ถ้าผู้ที่หลอกลวง เป็นมาร หรือ เป็นเทพผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็หลอกลวง เพื่อสกัดกั้นและบ่อนทำลายความสำเร็จ ความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา วิทยากรผู้บรรยาย ได้บรรยายต่อไปว่า คำว่า มาร ในอดีตเรียกว่า อธิบดีหรือ เทพผู้ยิ่งใหญ่ในเทวโลก ส่วนเทพผู้มีสัมมาทิฐิ ไม่เคยเป็นใหญ่ในเทวโลก สิ่งที่น่าตกใจคือ ผู้บรรยายกล่าวว่า มาร คือ พระผู้เป็นเจ้า หรือ GOD เพราะทุก GOD จะมีโทสะ และสามารถฆ่าคนได้ ดังนั้น GOD คือมาร (ในส่วนนี้ ผู้เขียนไม่เห็นด้วย หากอุปมาว่า GOD กับซาตานเป็นพี่น้องกัน แต่ผู้หนึ่งมีสัมมาทิฐิ จึงเป็น GOD แต่อีกผู้หนึ่งมีมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นซาตาน น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตซึ่งมิใช่องค์เดียวกัน แต่เป็นพระญาติกัน โดยมีทิฏฐิต่างกันนั่นเอง)
1. พระพุทธเจ้าปลอม : วิทยากรกล่าวถึง บรรดาร่างทรงที่อ้างว่าพระพุทธเจ้ามาประทับทรง มีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ มาประทับทรงเป็นประจำ เรื่องนี้ไร้สาระ ถ้าร่างกายมีคุณวิเศษใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นอำนาจอิทธิฤทธิ์ของมาร มิใช่พระพุทธเจ้าแน่ (ในส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย ผู้ใดอ้างว่าพระพุทธเจ้ามาสถิต มาสอนธรรมะ สรุปได้ว่า เลอะเทอะ เปรอะเปื้อนไปกันใหญ่ ปลอมมาเป็นพระพุทธเจ้าแน่ )

2. พระธรรมปลอม : วิทยากรบรรยายว่า มีการถอดเทปบรรยายธรรมะแล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มขาย คำบรรยาย ของบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลาย วิทยากรกล่าวหาว่า ส่วนใหญ่เป็นพระธรรมปลอม คิดเอง พูดเอง แต่งเอง ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎกมากมาย เป็นเพียงคำสอนของ ครูบาอาจารย์เท่านั้น มิใช่ ธรรมะที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า (ผู้เขียน เห็นด้วยในคำสอนของพระบางองค์ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น มิใช่เหมารวมทุกองค์ พระสงฆ์ที่นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาบรรยายธรรมะให้ชาวบ้านฟัง ผู้เขียนกลับเห็นว่ามีมากกว่า เพียงแต่อาจใช้ภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายกว่าเท่านั้น ซึ่งเป็นการเลือกให้ถูกกับผู้ฟัง)
3. พระอรหันต์ปลอม : วิทยากรบรรยายว่า มีหลวงปู่ หลวงตามากหน้าหลายตา อวดอ้างว่าบรรลุธรรมชั้นสูง ตัดกิเลสให้ขาดสะบั้นหั่นแหลกแล้ว หรือ บรรลุโลกุตรธรรมแล้ว วิทยากรแนะผู้ฟังว่า ให้สังเกตว่า หลวงปู่ หลวงตาเหล่านั้น มีอาการอย่างใด อย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ ปรากฏหรือไม่“หัวเราะ เมื่อดีใจ / โสมนัส เมื่อชอบใจ/หรือร้องไห้เพราะเสียใจ ผิดหวัง หรือโทมนัส/มีอารมณ์โกรธหรือมีโทสะ / มีความวิตกกังวล/มีความกลัวปัญหา/ กลัวสัตว์ร้าย/กลัวตาย/มีอาการสะดุ้งเมื่อตกใจ/ยังมีการฝันเวลาหลับนอน/ยังมีผรุสวาจา มีการด่าว่าลูกศิษย์ ฯลฯ”วิทยากรผู้บรรยาย ฟันธงว่า บรรดาหลวงปู่ หลวงตาเหล่านี้ ไม่มีใคร
บรรลุโลกุตรธรรม ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์แน่นอน ล้วนแต่เป็นอรหันต์ปลอมทั้งนั้น เนื่องจากพระไตรปิฎก บัญญัติว่า พระอรหันต์จะไม่มีอารมณ์เหล่านี้ (ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นด้วย ถ้ากิเลสอย่างหยาบยังละมิได้ สังโยชน์ 10 อย่างละเอียด จะละได้
อย่างไร ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนอธิบายในสารชมรมฯฉบับก่อน ๆ มาแล้ว)

4. ผู้วิเศษปลอม วิทยากรผู้บรรยาย ยกตัวอย่าง เช่น ผู้เขียนเรื่องมิติพิศวงซึ่งเป็นคนชาวเหนือนอนแล้วฝันมีนิมิตเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตชาติของคนในชาติปัจจุบันหากินเรื่องนี้มานาน ลูกศิษย์เก่าที่ใกล้ชิดปัจจุบันถอยออกห่างหมดแล้ว แต่ปัจจุบันก็มีเหยื่อรายใหม่เข้าไปให้หลอก ขบวนการหลอกลวง ก็ยังดำเนินการต่อไปได้ไม่จบสิ้น

- อีกรายที่วิทยากรอ้างถึง โดยมิได้ระบุชื่อ แต่บรรยายว่าเป็นผู้นุ่งขาวห่มขาวเปิดโรงทานไปทั้งทั่วภาคเหนือ และภาคกลาง และหลอกขายวัตถุมงคลเป็นครั้งคราวต่างเข้าข่ายเป็นผู้วิเศษปลอมเหมือนกัน(2 รายนี้ ผู้เขียนไม่มีข้อมูล – ไม่ขอออกความเห็น แต่ทราบว่าวิทยากรหมายถึงท่านผู้ใด)

5. พระภิกษุปลอม
- วิทยากรผู้บรรยาย อ้างว่าข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2543 (2 ปีเศษมาแล้ว) ประเทศไทยมีพระเณรรวมกันมากกว่า 370,000 รูป เป็นภิกษุ 267,000 รูปเศษ(มหานิกาย 245,000รูป ธรรมยุต 21,000 รูป) เป็นสามเณร 102,000 รูปเศษ(มหานิกาย 90,000รูป ธรรมยุต 12,000 รูป)
- การปลอม มี 2 ประเภท
5.1 เป็นพระเถื่อน มิได้บวชจริง ในจังหวัดชัยภูมิ บางหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านพระปลอมทั้งหมู่บ้าน เย็นถอดจีวร ใส่กางเกง มีเมีย กินอาหารเย็น เป็นต้น
5.2 บวชจริงตามประเพณี แต่มิได้บวชเพื่อละกิเลส มิได้ตั้งใจ บวชเพื่อสืบพระศาสนา แต่บวชเพื่อใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน บวชเพื่อตั้งตัวหาเงิน บวชจริงแต่ทำตนเป็นฆราวาส เช่น กินข้าวเย็น เสพเมถุน จัดอยู่ในประเภทพระปลอมเหมือนกันวิทยากรบรรยายต่อไป อย่างน่าตกใจว่า มีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ มีหัวหน้าสำนักสงฆ์ต่าง ๆ มากกว่า 32,000 รูป ปาราชิกแล้วมากกว่า 50% (ข้อหาปาราชิก คือ ขาดจากความเป็นพระภิกษุแล้วห้ามบวชในพุทธศาสนาอีกต่อไป) โดยวิทยากรกล่าวหาว่าถ้าพระภิกษุ นำเงินถวายวัด ถวายสงฆ์ ตั้งแต่ 5 มาสก หรือเท่ากับ 1 บาท ไปใช้ในกิจส่วนตัว หรือ ให้ลูกหลานเอาไปใช้ ถือว่า มีความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นปาราชิกทันทีซึ่งวิทยากรเชื่อว่า บรรดาเจ้าอาวาส เจ้าคณะต่าง ๆในปัจจุบัน ปาราชิกแล้วมากกว่า
50% จึงถือได้ว่าบุคคลที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองกลุ่มนี้ เป็น “ภิกษุปลอม” (ผู้เขียนเห็นด้วยเพียงบางส่วน เพราะอุบาสกอุบาสิกาบางคน เจาะจงถวายพระสงฆ์บางรูป ไม่มีเจตนาถวายเงินให้แก่วัด หรือถวายสงฆ์ก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ พิสูจน์ได้กับวัดต่าง ๆ ที่ชาวพุทธแห่แหนไปทำบุญตลอดเวลา แต่พอพระเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงนั้นมรณภาพ ผู้คนจะไม่ไปทำบุญที่วัดนั้น ๆ อีก เช่น วัดดอยแม่ปั๋ง วัดพระธาตุจอมสัก วัดบางนมโค ฯลฯ เป็นต้น เป็นการศรัทธาเฉพาะองค์เท่านั้น ถ้าเขาตั้งใจถวายวัด ถวายสงฆ์ เจ้าอาวาสมรณภาพเขาก็ต้องไปทำบุญ มิใช่เลิกทำบุญ)

6. ร่างทรงปลอม
วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวว่า บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ เคยตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่าในประเทศไทย มีร่างทรงของสำนักต่าง ๆ ประมาณ 100,000 สำนัก และ มีเงินทุนหมุนเวียนที่ประชาชนผู้หลงงมงายจ่ายผ่านร่างทรงปลอมปีละไม่น้อยกว่า 20,000ล้านบาท ร่างทรงของสำนักต่าง ๆ ใน 20 สำนัก จะมีร่างทรงจริงแท้ ไม่เกิน1 สำนัก (ในส่วนนี้ผู้เขียนเห็นด้วยว่าร่างทรงปลอมมีมากกว่าร่างทรงจริงมากมายยิ่งนัก) วิทยากรผู้บรรยายเล่าต่อไปว่า การปลอมนั้นมีหลายกรณี เช่น

         6.1 เล่นละครตบตาว่ามีเจ้าเข้า เทพเข้า แท้จริงหลอกลวง บางคนใช้ความสามารถพิเศษฝึกฝน เอาของแหลมทิ่มแทงทะลุแก้ม ทะลุลิ้น แต่แท้จริงไม่มีเจ้าองค์ใดเข้า ไม่มีเทพองค์ใดสถิต (ส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย เป็นการเล่นละครตบตาเกือบ
ทั้งหมด เทพชั้นสูงเบื้องบน มักจะไม่มาสถิตในร่างมนุษย์ขี้เหม็น แต่อาจมีข้อยกเว้นซึ่งผู้เขียนไม่ทราบแน่ชัดว่าองค์ใดจริง องค์ใดเท็จเท่านั้น)

       6.2 มีจิตวิญญาณอื่นเข้าแทรกเข้าสิงจริง แต่หาใช่เป็นเทพไม่ กลายเป็นพวกเปรตและอสูรกาย มาเล่นละครตบตาเป็นเทพเบื้องสูง จิตวิญญาณที่ว่าอย่างดีที่สุดก็เป็นเทพชั้นต้น เทพชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น รุกขเทวดา ภุมเทวดา ฯลฯ ไม่มีเทพ
ชั้นสูงกว่าจาตุมหาราชิกามาเข้าร่างทรง (ส่วนนี้ ผู้เขียน ไม่ยืนยันว่าไม่มีเทพชั้นสูงกว่า จาตุมหาราชิกา แต่เห็นด้วยว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ท่านที่มามักไม่เกินชั้นจาตุมหาราชิกา โดยไม่ยืนยันเหมือนวิทยากรผู้บรรยายที่ว่า “ไม่มีเลย ที่เกินชั้นจาตุมหาราชิกา” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ วิทยากรผู้บรรยาย หมายความว่า การทรงพระอินทร์ไม่จริง การทรงท้าวมหาพรหมไม่จริง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นร่างทรงปลอมนั่นเอง)
           วิทยากรผู้บรรยาย เน้นว่า ภาษาเทพ หรือภาษากูโบ๊ตที่บรรดาร่างทรงพูดคุยกันนั้น “มั่วทั้งหมด” พูดคำเดียวกัน ต่างเวลากัน แปลไม่เหมือนกัน ทำทีพูดคุยกัน แล้วให้ผู้พูดแปลเป็นไทย แล้วอัดเทปไว้ ระยะผ่านไป 1-2 เดือน ลบแปลไทยไปใส่เทปอีกม้วน เอาภาษาเทพนั้นมาแปลใหม่ ผู้รู้ภาษาเทพ จะแปลไม่เหมือนเดิม จึงสรุปว่า “พูดมั่ว” จึงแปลไม่เหมือนกัน (ถ้าพูดคำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน แต่ในเวลาที่ต่างกัน แล้วแปลไม่เหมือนกัน ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่า พูดมั่ว เว้นแต่ จะแปลเมื่อไรแปลโดยใครที่พูดภาษาเทพได้ ในคำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน แปลได้เหมือนกัน ในทุกสำนักที่พูด ภาษาเทพระดับเดียวกัน จึงจะน่าเชื่อถือ ผู้เขียนยังไม่ขอสรุปว่ามั่วทั้งหมด อาจมีจริงก็ได้ เพียงแต่ผู้เขียนพูดไม่เป็น แม้บางครั้งคันปาก อยากเข้าไปร่วมวงสนทนาภาษาเทพ แต่สติก็เตือนว่า เจ้ารู้หรือว่าเขาพูดอะไรกัน แต่จิตหนึ่งก็บอกว่า ก็มันเพื่อนเก่า ลูกน้องเก่าของข้า ก็อยากไปทักทายพวกมันหน่อย ในที่สุดจิตสำนึกในชาตินี้ก็เตือนว่า อย่าไปร่วมวงกับเขาดีกว่า เพราะเราอยู่ต่างภพกันแล้ว ในที่สุด ก็เลยไม่เคยไปผสมโรง เพียงแต่จิตใต้สำนึกบอกแต่เพียงว่า เป็นการทักทายปราศรัยกันเท่านั้น)
7. เครื่องรางของขลังปลอม
           - วิทยากรผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า ผลการสำรวจวิจัยของสถาบันการศึกษาชั้นสูงของประเทศแห่งหนึ่ง พบว่าในปี 2545 มีการจำหน่ายพุทธพานิชเครื่องรางของขลัง นับจำนวนรวมพระเครื่องได้ประมาณ 100 ล้านองค์ ที่ผลิตพระออกมาจำหน่ายเฉพาะวัดดัง ๆ ส่วนใหญ่เป็นพระหลักร้อย คือราคาร้อยบาทขึ้น คิดเป็นเงินหมุนเวียนในปี 2545 ปีเดียว มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท ไม่รวมพระที่ผลิตออกมาจากวัดเล็ก ๆ ไม่รวมพระเก่าชุดดั้งเดิม เช่น ชุดเบญจภาคี ชุดงาม ๆ มีมูลค่ามากกว่าชุดละ10 ล้านบาท ส่วนพระสมเด็จโตฯ องค์งาม ๆ องค์เดียว มีมูลค่าถึง 50 ล้านบาท โดยนักการเมืองชื่อดังซื้อไปเก็บไว้
         - วิทยากรผู้บรรยาย เล่าต่อไปว่า “นำพระมาซื้อมาขาย” แต่ก็มุสาว่า“นำพระมาให้เช่าหรือเช่าพระ” ปัจจุบันมิได้มีวัตถุประสงค์ให้พระคุ้มครองคน แต่คนต้องจ้างมือปืน มาคุ้มครองพระที่ห้อยคอเพราะกลัวถูกจี้ถูกปล้น เพื่อเอาพระบนคอของ
ผู้มีอิทธิพลคนนั้น ๆ
        - วิทยากรเล่าต่อไปว่า พระองค์งามหรือไม่งามที่สมเด็จโตสร้างในสมัยก่อนท่านกลัวญาติโยมไม่เอา ต้องยัดเยียดมอบให้ แล้วบอกให้ญาติโยมเก็บไว้โดยพูดว่า“เก็บไว้กันหมากัด” มีแต่แจกฟรี โดยเมตตากรุณา ไม่มีวัตถุประสงค์ให้นำไปซื้อขาย
หากินกัน โดยวิทยากรเล่าว่า “ของขลัง ห้ามซื้อขาย ของที่มีขาย จะไม่มีความขลัง” ที่ซื้อขายกัน จึงเป็นเครื่องรางของขลังปลอม
        - วิทยากรผู้บรรยาย เล่าว่า พระพุทธคุณนั้นมีเพียง 3 ประการ คือ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ ส่วนที่เป็นมงคลในพระพุทธศาสนานั้น มี 38 ประการ ปรากฏในมงคลสูตร (เรื่องนี้ผู้เขียน ได้เขียนไว้แล้ว
ในสารชมรมฯ ฉบับไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2546) ว่าสิ่งที่เป็นมงคล 38 ประการ
มีอะไรบ้าง)
          วิทยากรผู้บรรยาย สรุปว่า เครื่องรางของขลัง ที่ชาวพุทธแขวนคอกันนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องงมงาย เป็นการหลงผิดแขวนสิ่งที่เป็น “อัปมงคล” มีแต่คุณไสยที่ประจุเข้าไป มิใช่พุทธคุณจะนำความเสื่อมเสียมาให้แก่ผู้สวม (ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับการ สรุปเช่นนี้ ดูจะเป็นการกล่าวหาดูหมิ่นดูแคลนแก่ผู้สวมใส่พระเครื่องมากเกินไป แม้ว่าในช่วง 10 ปีเศษ ที่ผ่านมา ผู้เขียนก็มิได้สวมสร้อยแขวนพระที่คอก็ตาม แต่ก็ไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้สวมสร้อยแขวนพระ ผู้เขียนเชื่อว่าวัตถุสิ่งของต่างๆ หรือพระเครื่องสามารถประจุพระกรุณาธิคุณ (คุณวิเศษที่ทำให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากได้) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธคุณ มิใช่ว่า พระเครื่องทุกองค์ประจุแต่คุณไสยทุกองค์ ผู้เขียนเห็นว่าวิทยากรกล่าวจาบจ้วงเกินเลยไป และผู้ที่แขวนพระเครื่อง ก็มิใช่ว่าทุกคนเป็นผู้งมงายดั่งวิทยากรผู้บรรยายกล่าวหา)

8. ปรากฏการณ์ลี้ลับปลอม
           - วิทยากรผู้บรรยาย ฟันธงว่า บั้งไฟพญานาค ที่ริมฝั่งโขงจังหวัดหนองคาย ที่มีดวงไฟพุ่งขึ้นฟ้าเลยยอดต้นไม้นั้น เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ความจริงเป็นการยิงปืนอาก้าขึ้นฟ้าของทหารลาว เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่ง ที่หลอกลวงชาวโลก
เพื่อหวังผลในการท่องเที่ยวเท่านั้น วิทยากรกล่าวว่า ชาวหนองคายที่รู้ความจริงว่า เป็นเรื่องโกหกมีไม่น้อยกว่า 1,000 คน แต่คนหนองคายประมาณ 900,000 คน ไม่รู้ความจริง
          - วิทยากรเล่าว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นบั้งไฟจริง จะมีความสูงไม่เกินตึก 2 ชั้นเท่านั้น ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นว่า เป็นเรื่องของกลุ่มแก๊สชนิดหนึ่ง ในบ่อปลาต่าง ๆ บางแห่ง ก็มีปรากฏการณ์เช่นว่า
          - ดังนั้น วิทยากรผู้บรรยายจึงสรุปว่า “รายการดูบั้งไฟพญานาคที่ริมฝั่งโขง เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง”( ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับบทสรุปของวิทยากร และวิทยากรก็เล่าเองว่า บั้งไฟพญานาคของจริงก็มี แต่ความสูงแตกต่างกัน ผู้เขียนเห็นว่าของจริงมีแน่ แต่ของปลอมที่สร้างขึ้นในบางครั้งก็อาจมีเช่นกัน แต่ไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหมด)

9. อาจารย์พลังจิตปลอม
        - วิทยากรผู้บรรยายบอกว่า มีผู้ตั้งตัวเป็นอาจารย์พลังจิต 30-40 สำนักพลังจิต บางสำนักมีชื่อน่าตื่นเต้นเช่น “พลังปรมาณูสายฟ้าผ่า” มีทั้งพลังมาจากประเทศจีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่มาในรูปการรักษาโรค เป็นเรื่อง การแพทย์นอกระบบเป็นเรื่องการหลอกลวง มีการใช้พลังหินบ้าง พลังโลหะบ้าง พลังแก้วผลึกบ้าง พลังอัญมณีบ้าง พลังกำไลทองแดงบ้าง ฯลฯ ซึ่งวิทยากรผู้บรรยาย อ้างว่า ไปสอบถามกรมทรัพยากรธรณีแล้ว ได้รับคำยืนยันว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ไม่มีพลังอะไรทั้งสิ้นบางสำนักเก็บค่าเรียนค่าสอนแพงมาก หลักสูตรชั้นสูง ต้องเสียค่าเรียนถึงชั้นเรียนละ 70,000 – 80,000 บาท ก็ยังมีคนไทยงมงายไปเรียนกันไม่น้อย(เรื่องนี้ ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วย ความจริงมีที่ปลอมปนมา ความจริงมีที่แสวงหาประโยชน์จากการเรียนการสอนในราคาสูง แต่ความจริงที่มีการสอนในเชิงวิทยาศาสตร์ก็มี เช่น หลักสูตรพลังจิตใต้สำนึกของ ดร.สรพล สุขทัศนีย์ หลักสูตรสะกดจิตของ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ก็เป็นเรื่องของการใช้พลังจิตเช่นกัน การเหมาโหลในสิ่งที่วิทยากรผู้บรรยายมิได้ศึกษาฝึกฝน แล้วปฏิเสธว่าสิ่งอื่นผิดหมดเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหมด ก็ไม่น่าจะถูกต้อง
            การที่วิทยากรผู้บรรยายอ้างว่า ผ่านการฝึกจิตในสำนักวิปัสสนากรรมฐานมา 8 สำนักอาจารย์ มีสติมั่นคง มีไม่มีผู้ใดหลอกลวงได้ ไม่มีผู้ใดจะใช้พลังจิตมาบังคับจิตของวิทยากรได้ก็คงไม่มีผู้ใดจะไปก้าวล่วงกล่าวหาวิทยากร แต่การด่วนสรุปว่า สิ่งต่าง ๆที่ตนมิได้เปิดใจไปทดลองศึกษาอย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่หลอกลวงหมด ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก)

10. สื่อโฆษณาและกระบวนการหลอกลวง
          - วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวถึง ผู้ที่อ้างว่าสื่อจากจิตจักรวาล ได้ตีพิมพ์หนังสือขายหลายซีรีส์หลายฉบับ โฆษณาหลอกลวงว่าจะมีหายนะ จะมีภัยพิบัติร้ายแรงจะเกิดขึ้นวันนั้น วันนี้ จะมีคนตายเป็นร้อยล้าน พันล้านคน หลังจากขายหนังสือหมด
ก็ไม่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ว่าเกิดขึ้น ก็ยังมีคนงมงายเป็นสานุศิษย์ไม่ใช่น้อย เป็นกระบวนการหลอกลวงทั้งนั้น
         - สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ ก็ไม่กลั่นกรองบทความข้อเขียน ขอให้มีเรื่องมาลงหรือขายให้ได้ค่าโฆษณา ก็จะตีพิมพ์เรื่องต่าง ๆ ที่มีผู้ว่าจ้างให้ลงโฆษณา ทำการโฆษณาให้ ซึ่งก็เป็นตัวกระตุ้นให้คนไทยงมงายในสิ่งเหลวไหลหลอกลวง(ในส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย ผู้อ่านผู้ฟัง ต้องใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น อย่าด่วนเชื่อทันที ยึดหลักกาลามสูตรไว้ก็จะดี ไตร่ตรอง และพินิจพิจารณาให้มากเข้าไว้ประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่สอนเราได้ว่า จริงแท้ทุกอย่าง ล้วนเป็นสมมุติทั้งนั้น อย่างมงายกับสิ่งที่ได้อ่าน สิ่งที่ได้ยินมา ซึ่งผู้เขียน ก็ได้เขียนบทความฉบับไตรมาสแรกของปี 46 ซึ่งได้พิมพ์แจกจ่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 เป็นต้นมา เกี่ยวกับเรื่องหายนะ หรือภัยอันร้ายแรง โดยเขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2545 ว่าเหตุการณ์ 56 วัน 7 ราตรีที่จะมีต่อมนุษย์ จะเกิดยุคพลังใหม่ ตั้งแต่ 11 มกราคม 2546 เป็นต้นไป โดยจะไม่มีการเลื่อนเวลามหันตภัยอีกแล้วนั้น มันยังไม่ถึงเวลา มิใช่ดั่งที่ผู้อ้างว่าได้รับสื่อจากพระบิดาอันเป็นองค์จิตจักรวาลสื่อมาแน่ เพียงแต่ผู้เขียนยังปริวิตกเหตุการณ์ในปี 2551 หรือเร็วกว่าคือ ที่จะเกิดในปีหน้า 2547
           แต่ผู้เขียนก็พยายามภาวนามิให้เกิดประสงค์ให้เลื่อน และให้ลดความรุนแรงของมหันตภัยดังกล่าว ต้องการให้สิ่งที่
ผู้เขียนที่ได้สื่อออกไป เป็นการสื่อความผิด ไม่ต้องการให้ถูก เพราะถ้าสิ่งที่สื่อไปนั้นถูกต้อง ความฉิบหายที่จะเกิดแก่มวลมนุษยชาตินั้น มันแสนสาหัส เรียกกันว่า ตั้งแต่ท่านแรกเกิดมา ไม่เคยพบมหันตภัยที่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ในปี 2551 แน่นอน และไม่ต้องกลัว ผู้เขียนคงยึดมั่นหลักการเดิมของผู้เขียนว่า ผู้เขียนไม่มีวัตถุมงคลใด ๆ มาบอกขาย ไม่มีบทความข้อเขียนใดมาบอกขาย ไม่ประสงค์จะได้ทรัพย์สินของผู้ใดมาบำเรอความสุขส่วนตน และถือหลักการเดิมต่อไป คือ ทุกบทความ
ข้อเขียน ไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ สารชมรมฯ จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้ฟรี หากได้วัตถุมงคลใดที่จะช่วยป้องกันภัยพิบัติได้ ผู้เขียนจะทำการ “แจกจ่ายฟรี”เพียงแต่ ขอร้องให้ท่านผู้อ่าน ระลึกถึงการกระทำใด ๆ จะต้อง “ละเว้นการทำความชั่ว ความไม่ดีทั้งปวง หาหนทางทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ทำแต่บุญกุศล สร้างอริยทรัพย์ด้วยการฝึกอบรมทางจิต ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบ้าง เพราะเป็นการทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน อิ่มเอิบด้วยกระแสพุทธธรรม”
            ทุกคืนก่อนนอน หมั่นหาโอกาสทบทวนคุณงามความดีของตนเอง คิดไม่ออก คิดถึงคุณงามความดีขององค์พระพุทธเจ้า ที่มีทั้งพระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณคิดอะไรไม่ออก ภาวนาเพียงแต่ “ พุท-โธ” ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ก็ยังดีกว่าหลับไปโดยขาดสติ ขอย้ำว่า “ อาสันนกรรม” กรรมสุดท้ายที่ระลึกได้ก่อนจิตวิญญาณออกจากร่าง (ก่อนตาย) มีผลสำคัญต่อการไปปฏิสนธิ หรือ ไปอุบัติบังเกิด ในสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิมาก หากไม่ฝึกฝนก่อนตายจริง โอกาสปฏิบัติได้จริงขณะจะตาย เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิด บอกแล้วเตือนแล้ว ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เชื่อแต่ไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นจิตวิญญาณของท่านเอง หากท่านต้องการนำพาตัวท่าน ไปสู่เบื้องสูงในสุคติภูมิ ท่านจะต้องฝึกฝนให้เกิด
ความชำนิชำนาญ จึงจะสัมฤทธิผลได้ ไม่เช่นนั้นตัวใครตัวมันครับ

สำหรับพฤติกรรม 16 อย่างที่วิทยากรผู้บรรยายกล่าวถึง ผู้ที่เป็นบุคคลลวงโลกหรือบุคคลจอมปลอม ก็ได้แก่
           1. ตั้งสมญาตนเอง หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ เช่น เป็นดาบส ฤๅษี นักพรตหรืออายุน้อย แต่ให้ลูกศิษย์เรียกว่าหลวงปู่ ฯลฯ วิทยากรกล่าวหาว่า บุคคลเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นคนลวงโลก (ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการสรุปของวิทยากร คำว่าหลวงปู่ที่
เรียกขานพระบางองค์ที่อายุน้อย แต่มีภูมิธรรมสูง ผู้เขียนกลับเห็นว่า น่าจะถูกต้องตามภูมิธรรม คนที่เกิดมา 70 – 80 ปี แต่หาภูมิธรรมมิได้ หรือเป็นพระบวชใหม่ ผู้เขียนกลับเห็นว่า ไม่น่าจะเรียกหลวงปู่ เพียงการเห็นว่ามีร่างกายแก่หรือมีอายุมากอย่างเดียว)
          2. ปกปิดอดีต
              - วิทยากรเล่าว่า บางคนเคยติดคุกมาก่อน บางคนเคยอบรมมาจากลัทธิศาสนาอื่น เพื่อมาบ่อนทำลายความเชื่อความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจึงมักมีประวัติคลุมเครือ ไม่ชัดแจ้ง คนพวกนี้ถือว่าเป็นพวกบุคคลลวงโลก

         3. แต่งนิยาย
             - วิทยากรบรรยายว่าบุคคลจอมปลอมลวงโลกจะมีการจัดฉากบังหน้า จัดคิวลูกศิษย์ มีการแต่งตัวให้แปลกจากความเป็นอยู่ประจำวัน

        4. เล่นละคร
            - มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าว่าใครจะมา จะเอาอะไรมาให้ แล้วผู้นั้นก็มาปรากฏตัวในงาน และนำสิ่งของมาให้จริง ตามที่ร่างทรงหรือพระผู้นั้น กล่าวเอ่ยขึ้น เพื่ออวดคุณวิเศษว่ามี “อนาคตังสญาณ” ญาณหยั่งรู้อนาคต แท้จริงเป็นการเล่นละครตบตาหลอกลวงประชาชนผู้มาเคารพกราบไหว้เท่านั้น

       5. เปิดสำนักใหม่
           - เช่น สร้างวัดใหม่ สำนักใหม่ ทั้ง ๆ ที่วัดเก่า สำนักเก่าก็มีอยู่ แต่เพื่อความเด่นดัง และหารายได้เข้ากระเป๋าได้มากและง่ายกว่า จึงใช้วิธีการเช่นว่า

       6. ใช้หน้าม้า
          - มีการแบ่งผลประโยชน์ให้ 20%-30% ของรายได้ที่สามารถนำคนมาร่วมบริจาค มาร่วมพิธีได้

      7. เล่นกล
          - เป็นการฝึกทักษะพิเศษ ให้ร่างกายมีความอดทนต่อสิ่งแหลมคมหรือมีความสามารถเหนือบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่จริงมิใช่มีคุณวิเศษ แต่เป็นเรื่องความสามารถพิเศษที่เกิดจากการฝึกฝนจนชำนาญ

      8. ใช้อุปกรณ์ไฮเทคหลอกลวงประชาชน
         - เช่น ใช้แสงเลเซอร์ฉายไปบนท้องฟ้า โดยมีการใช้เครื่องบินเล็ก ๆ ไปโปรยละอองน้ำทิ้งไว้ในอากาศก่อน ซึ่งมีการทำกันในวัดใหญ่ แถวคลองหนึ่ง ปทุมธานี มีคนเข้าวัดนับเป็นแสนคน วิทยากรกล่าวหาว่าเป็นพฤติกรรมลวงโลกอีกอย่างหนึ่ง

     9. สะกดจิต
        - เป็นการสะกดจิตหมู่ ผู้เข้าร่วมพิธีกรรม

    10. คุณไสย
       - วิทยากรแนะนำให้ระวังเรื่องน้ำมนต์ อาหาร สิ่งของจากสำนักต่าง ๆ จะเป็นการนำคุณไสยเข้าบ้าน จะมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นตามมาได้ไม่จบไม่สิ้น

    11. มอมยา
      - วิทยากรแฉว่าบางสำนักมีการให้ยากล่อมประสาท ผ่านทางน้ำดื่ม ที่นำมาเลี้ยงญาติโยม หรือ สานุศิษย์เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน และมีอาการเคลิบเคลิ้มเชื่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง

    12. สร้างภาพ
      - วิทยากรกล่าวหาว่าบุคคลลวงโลกบางคนว่าพยายามสร้างภาพตัวเองให้น่านับถือโดยกินอาหารมังสวิรัต เปิดโรงทาน โรงเจ เพื่อให้ผู้คนมีศรัทธานับถือ

    13. เกณฑ์คนมาร่วมงาน วิทยากรบรรยายว่า ปกติมีชาวบ้านรับจ้างเป็นม็อบ รับจ้างเป็นสานุศิษย์ และทำตามข้อแนะนำของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น คนที่มาร่วมงานบางแห่ง มิใช่ผู้เลื่อมใสโดยแท้จริง แต่เป็นคนที่รับเงินมาเป็นนกต่อ แบบบอกต่อ ๆ กัน
มาว่า เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือเทพองค์นี้ ศักดิ์สิทธิ์มาก เพื่อลวงให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธามากขึ้น เป็นต้น
    14. การดูดทรัพย์
      - บางสำนัก บางวัด มีการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงว่าต้องทำบุญด้วยเงินมาก ๆ จึงจะให้บุญมาก ทำแล้วเงินทองทั้งหมดจะไปอยู่บนสวรรค์แต่เพิ่มค่าอีก 100 เท่าของทรัพย์สินที่บริจาค หากบริจาค 1 ล้านบาท ก็จะมีทรัพย์รออยู่100 ล้านบาท หรือบอกขายหนังสือซีรีส์ต่าง ๆ ขายบุญ ขายวัตถุมงคล ขายสินค้าต่าง ๆซึ่งวิทยากรบอกว่า เป็นการหลอกลวงดูดทรัพย์ประชาชนผู้งมงาย
    15. บำเรอกาม
      - ร่างทรง หรือพระปลอม มีเมียหลายคน เอาสานุศิษย์มาเป็นเมีย แต่ก็มีทั้งสาวรุ่น สาวแก่แม่ม่าย เปลี่ยนหน้ากันมาบำเรอกามให้แก่มนุษย์ลวงโลก
    16. สร้างเครือข่ายพันธมิตร - ใช้ฐานอาจารย์ ศจ. ในมหาวิทยาลัยใช้ดอกเตอร์ ใช้หมอ มาเป็นเครือข่ายสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมว่า ระดับมันสมองของชาติ ยังเชื่อถือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ หรือ ศจ. ในมหาวิทยาลัย ก็จะต้องเชื่อเพราะเสมือนว่ามีคนระดับมันสมองกลั่นกรองสำนักนั้น สำนักนี้ให้แล้ว

    17. พฤติกรรมทำลายความน่าเชื่อถือ ของพระไตรปิฏกเถรวาท อรรถกถา หรือ พระอรรถกถาจารย์ ซึ่งวิทยากรกล่าวหาว่าเป็นคนลวงโลกโดยแท้พฤติกรรม 17 ประการ ที่วิทยากรอธิบายแยกแยะมาให้ทราบ เห็นควรรับทราบ และใช้วิจารณญาณโดยรอบคอบ หากต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามใน 17 ประเภท ที่วิทยากรเอ่ยถึง ซึ่งผู้เขียนคิดว่าคงจะมิใช่เลวร้ายไปทั้งหมด

          เหตุผลอาจไม่เป็นเช่นดังวิทยากรกล่าวหาก็ได้ เหตุที่แท้จริงในบางเรื่อง บางกรณี อาจเป็นบางเรื่องของการมีจิตเมตตา อยากให้คนอื่นมีความสุข และมีจิตกรุณา คือ อยากให้คนมีความทุกข์ พ้นจากความทุกข์ จึงบอกต่อ ๆ ให้ได้รับทราบ
มิได้เป็นขบวนการลวงโลกตามที่ถูกวิทยากรกล่าวหาก็ได้ มิได้มีการให้อามิสสินจ้างรางวัลก็ได้ ไม่ควรมองโลกผู้อื่นในแง่ร้าย จนขาดความไว้วางใจในคนอื่น ตัววิทยากรเองก็จะต้องระวังจะเผลอตัวขาดความไว้วางใจในตนเอง แทนที่จะนำสมาชิกชมรมฯ ไปโรงพยาบาลประสาท ตัววิทยากรอาจถูกคนอื่นนำไปโรงพยาบาลประสาทแทนก็ได้ ใครจะไปรู้อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ส่วนที่วิทยากรบรรยายมา ผู้เขียนก็เห็นว่า ก็มีประโยชน์ สังคมจะได้รับรู้ รับทราบว่า มีเรื่องจอมปลอม เรื่องหลอกลวงที่คาดคิดมิถึงหลายเรื่อง เพราะส่วนใหญ่พวกเรามิได้เริ่มมองคนอื่นโดยการตั้งข้อระแวง มิได้มีเจตนาไปจับผิดผู้อื่น จนบางครั้งกลายเป็นหลงเชื่อผู้อื่น โดยไม่รู้ตัวได้
        - วิทยากรผู้บรรยาย อ่านบทความนี้ของผู้เขียน ก็คงจะโกรธผู้เขียนไม่มากก็น้อย ซึ่งก็เป็นสิทธิเสรีภาพในการคิด การพูด และการเขียนของคนในสังคมยุคประชาธิปไตย เบ่งบาน ย่อมจะบังคับให้คนอื่นต้องเชื่อในสิ่งที่ตนพูด ตนเขียน ย่อมมิได้
เพราะแต่ละคนก็มีสมอง และคิดเป็นเช่นเดียวกับวิทยากรผู้บรรยาย

         ผู้เขียนก็เขียนได้ตามความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน เห็นด้วยก็ว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็ว่าไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องสองคนยลตามช่อง วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน

มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

บำเพ็ญธรรมในครัวเรือน


บำเพ็ญธรรมในครัวเรือน
        การบำเพ็ญธรรมที่ติดอยู่ในรูปแบบได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและปฏิบัติผิดกันมานจนกลายเป็นวิถีชีวิตสองแบบกล่าวคือ ผู้บำเพ็ญธรรมต้องบวชและอยู่ในอารามเฉพาะส่วนแยกออกจากชาวบ้านอย่างหนึ่งกับชีวิตชาวบ้านที่อาศัยคำสอนของนักบวชเหล่านั้นมาปฏิบัติซึ่งก็เชื่อกันว่าวิถีชีวิตของปุถุชนเต็มไปด้วยบาปไม่มีทางพ้นจากนรก อีกอย่างหนึ่ง วิถีชีวิตในครัวเรือนเป็นเรื่องของชาวโลกีย์เพราะฉะนั้น ครัวเรือนจึงเป็นเสมือนหนึ่งสะพานทอดเดินไปสู่นรกสถานเดียว ชาวพุทธจึงเชื่อว่าผู้ครองเรือนไม่อาจบำเพ็ญธรรมได้ ความเชื่อเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฐิคือ ความเห็นผิดโดยแท้ เพราะธรรมะมิใช่ของนอกตัว แต่มีอยู่ในตัวทุกคน

          พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนเมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้วว่า"ผู้ใดอยากบำเพ็ญธรรมหรือปฏิบัติทางจิต จะทำอยู่ที่บ้านก็ได้ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ในสังฆาราม พวกที่ปฏิบัติตนอยู่กับบ้านนั้น อาจเปรียบได้กับชาวบ้านทางทิศตะวันออกที่ใจบุญส่วนพวกที่อยู่ในสังฆารามแต่ละเลยปฏิบัติธรรมก็ไม่แตกต่างอะไรกับชาวบ้านที่อยู่ทางทิศตะวันตกแต่ใจบาป

         เพราะฉะนั้นไม่ว่า จักอยู่ที่ใด ถ้าจิตบริสุทธิ์ ณ ที่นั้นก็เป็นแดนบริสุทธิ์ทางทิศตะวันตก ซึ่งหมายถึง ธรรมญาณ ของบุคคลนั้นเอง" ความหมายแห่งวจนะของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงย่อมเป็นที่สอดรับกับความเป็นจริงว่า การปฏิบัติบำเพ็ญธรรมมิได้อยู่ที่รูปแบบและสถานที่



           เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เป็นเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ มาถึงแม่น้ำอโนมาก็เพียงเปลื้องเครื่องทรงของงกษัตริย์ออกและตัดพระเมาฬีและนำผ้าห่อศพมาพันพระวรกายและมุ่งหน้าหาความรู้เพื่อพ้นจากทะเลทุกข์ การดำรงชีพของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับขอทานปรราศจจากเครื่องอำนวยความสะดวกและผู้คทั้งปวง เหตุไฉนจึงต้องทรง
ปฏิบัติเช่นนี้ เพราะเป็นไปตามกาลกำหนดของเบื้องบนและความผันแปรของธรรมกาลซึ่งแบ่งออกเป็นสามยุค
           
            ยุคแรก เป็นยุคแดง ผู้บำเพ็ญปฏิบัติคือ ฮ่องเต้ ซึ่งได้ชื่อว่าโอรสสวรรค์
       
            ยุคสอง เป็นยุคเขียว ผู้บำเพ็ญปฏิบัติคือ อริยะบุคคล ซึ่งได้ชื่อว่า ปราชญ์ เมธี

            ยุคสาม เป็นยุคขาว ผู้บำเพ็ญปฏิบัติคือ สามัญชน ซึ่งได้ชื่อว่า นักธรรม

            พระพุทธองค์ทรงมีพระภารกิจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำพาเวไนยสัตว์ทั้งปวงให้ข้ามพ้นไปจากททะเลทุกข์ ในครั้งนั้นสังคมของชมพูทวีปยังแบ่งแยกออกเป็นววรรณณะชั้นแตกต่างกันไม่ยอมมีสังคมร่วมกันคือ กษัตริย์ พราหมณ์ ไวทยะ ศูทร และ วรรณะ ที่ต่ำสุดอันเกิดจากกาารผสมข้ามวรรณะกันก็ได้ลูกออกมาเป็นจัณฑาลจึงเป็นความจำเป็นที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดรูปแบบใหม่ให้ทุกวรรณะสามารถหลอมละลายกลายเป็นชนชั้นเดียวกันได้ รูปแบบนักบวชของพระพุทธองค์ทรงมีความหมายเช่นนี้มิได้มีไว้เพื่อติดยึดแต่ประการใด
          แต่ในชั้นหลังต่างไม่เข้าใจความมุ่งหมายแต่กลับกลายเป็นรูปแบบที่ยึดและเชื่อกันว่าการสำเร็จธรรมต้องอยู่ในรูปแบบของนักบวช และสัจธรรมก็แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า แม้อยู่ในรูปแบบของนักบวชแต่ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญยังต้องจรลีลงนรกโลกันต์มากมายสุดคณานับ ข้าหลวงอุ๋ยได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "พวกเราทั้งลายที่เป็นคฤหัสควรฝึก
อย่างไร เมื่ออยู่ที่บ้านจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ"
         ครั้งนั้นพรระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "อาตมาจะสอนโศลกว่าด้วยนิรรูปให้สักหมวดหนึ่ง ถ้าท่านทั้งปวงเก็บเอาไปศึกษาและนำข้อความเหล่านี้ออกมาปฏิบัติแล้ว ก็จักเป็นเช่นเดียวกับพวกที่อาศัยอยู่กับอาตมาเนืองนิจเหมือนกันในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ปฏิบัติท่านก็หาความเจริญทางจิตไม่ได้ แม้ว่าท่านจะโกนหัวสละบ้านเรือนออกแสวงหาบุญ"เมื่อการบำเพ็ญธรรมติดอยู่ที่รูปแบบมิได้ค้นคว้าสนใจปฏิบัติที่จิตความฟั่นเฝือผิดเพี้ยนจึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะรูปแบบมิได้อยู่ที่การมองเห็น
จับต้องได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รูปแบบที่จิตสร้างขึ้นยังมีอีกมมากมายจนประมาณมิได้ ผู้บำเพ็ญปฏิบัติจึงเดินผิดหนทางไปตามที่อาจารย์ต่างๆ ได้กำหนดแบบและเหมาเอาว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้ นักบวชฉลาดแต่งตัวประหลาดกว่าคนอื่นๆ ก็กลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์จึงแห่แหนกันไปกราบไหว้บูชา นักบวชแสดงวัตรปฏิบัติเคร่งแต่รูป ส่วนจิตใจสกปรกคนก็ แห่แหนกันไปกราบกราน อาการผิดเพี้ยนทางพระพุทธศาสนาปรากฏขันมากมายจนหนทางแห่งการพ้นทุกข์ก็ลบเลือนไป มีแต่หนทางสร้างลาภยศสรรเสริญกันสถานเดียว เพราะมิได้ปฏิบัติกันทที่จิตอันถูกต้องนักบวชจึงหันมาเอาแบบอย่างของฆราวาสจนศาสนาได้เหลือแต่เพียงรูปแบบ กลายเป็นพุทธพาณิชย์สร้างความร่ำรวยและกิเลสกองท่วมทับพุทธศาสนิกชน
การบำเพ็ญธรรมจึงต้องหันมาที่ตัวเองและในครัวเรือน

ต้นโพธิ์กับกระจกเงา

ความรู้แจ้ง "ธรรมญาณ" แห่งตนไม่อาจใช้ภาษาคนอธิบายให้เข้าใจได้ชัดเจน เพราะสื่อภาษามีขอบเขตจำกัดเท่าที่มนุษย์ได้กำหนดไว้เท่านั้น แต่ภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อยู่นอก เหนือขอบเขตการกำหนดของมนุษย์ เพราะเป็นภาวะที่ปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง ภาษาจึงเป็นเพียงรอยทางให้ผู้ใฝ่ใจศึกษาได้เดินตาม ส่วนรสชาติเป็นเรื่องที่แต่ละคนสัมผัสรับรู้ได้เอง แม้ ใช้ภาษาอธิบายจนหมดสิ้นก็ไม่มีใครสามารถรับรสชาตินั้นได้เลย จึงเปรียบเหมือนน้ำคนไหนดื่มคนนั้นรับรู้รสชาติได้ด้วยตนเอง


  ท่านเสินซิ่วหัวหน้าศิษย์จึงใช้การศึกษาสะท้อนให้เห็นเป็นเพียงความรู้แต่มิได้ไหลออกมาจาก "ธรรมญาณ" เพราะฉะนั้นจึงจับจ้องว้าวุ่นใจในการเขียนโศลกถวายต่อพระอาจารย์หงเห ยิ่น ด้วยไม่แน่ใจในความรู้ของตนเอง เมื่อเขียนโศลกเสร็จแล้วไม่มั่นใจจึงไม่กล้านำไปถวายพระอาจารย์ได้แต่เดินกลับไปกลับมาเสียเวลาไป 4 วันเดินเสีย 13 เที่ยว ในที่สุดก็ตัดสินใจ เขียนเอาไว้บนฝาผนังช่องทางเดินทางทิศใต้ซึ่งพระอาจารย์เดินผ่านไปมาจะได้หยั่งทราบถึงปัญญาญาณที่ตนเองได้บรรลุ ข้อความแห่งโศลกนั้นมีว่า "กายคือต้นโพธิ์ จิตคือกระจกเงาใส หมั่นเช็ดอยู่ทุกโมงยาม จึงไม่มีฝุ่นละอองลงจับ" เมื่อเขียนเสร็จแล้ว เสินซิ่วก็หามีความสุขแต่ประการใดไม่ มีแต่ความปริวิตกด้วยหวั่นเกรงว่าได้สะท้อนความไม่รู้แจ้งให้ปรากฎออกไป แต่พระอาจารย์หงเหยิ่นรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เสินซิ่วยังไม่ได้รับรสชาติแห่งธรรมญาณของตน จึงกล่าวแก่ หลูเจิน จิตกรเอกแห่งราชสำนักซึ่งเขียนภาพต่างๆ จากลังกาวตารสูตรและชาติวงศ์ ของพระสังฆปริณายกทั้ง 5 องค์ว่า "เสียใจที่รบกวนท่าน บัดนี้ผนังเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเขียนภาพเพราะสูตรนี้ได้กล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งอันมีรูป หรือปรากฎกริยาอาการล้วนเป็นอนิจจัง และมายา จึงควรปล่อยโศลกนี้ไว้บนฝาผนังเพื่อให้มหาชนได้ท่องบ่น และถ้าปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อความที่สอนไว้ เขาก็จะพ้นทุกข์ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อานิสงส์ของผู้ปฏิบัติตามได้ รับนั้นมีมากนัก" ความหมายแห่งคำพูดของพระอาจารย์หงเหยิ่นพิจารณาโศลกบทนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า สภาวะที่ปรากฎ "ความมี" ย่อมจะ "ไม่มี" ในที่สุด ต้นโพธิ์ย่อม เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา หรือแม้แต่จิตก็เกิดดับไม่แน่นอน การหมั่นเช็ดกระจกจึงเปรียบเสมือนการทำความดีและขจัดอาสวะกิเลส ดังนั้นทั้งกายและจิต จึงเป็นสภาวะแห่งอนิจจัง ย่อม ไม่ใช่ภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อันแท้จริง
  ในเที่ยงคืนนั้นเอง พระสังฆปริณายกหงเหยิ่น จึงเรียกเสินซิ่วเข้าไปรับทราบถึงผลแห่งการเขียนโศลกนั้นว่า "โศลกนี้แสดงว่าเจ้ามิได้รู้แจ้งใน "ธรรมญาณ" เจ้ามาถึงประตูแห่งการ บรรลุธรรมแล้ว แต่มิได้ก้าวข้ามธรณีประตู การแสวงหาหนทางแห่งการตรัสรู้อันสูงสุดด้วยความเข้าใจที่แสดงออกมานั้น ยากที่จะสำเร็จได้" ความหมายอันแท้จริงคือ การติดในรูป ลักษณ์ พระอาจารย์หงเหยิ่นได้อธิบายด้วยว่า "การบรรลุ อนุตตรสัมโพธิ์ได้ ต้องรู้แจ้งด้วยใจเองใน "ธรรมญาณ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสร้างขึ้นได้ทำลายก็ไม่ได้ ชั่วขณะจิตเดียวผู้นั้น เห็นธรรมญาณก็เป็นอิสระจากการถูกขังตลอดกาล พ้นจากความหลง และไม่ว่าสภาวะรอบตัวเป็นเช่นไร ใจของตนเองก็อยู่ในสภาพของ "ธรรมญาณ" สถานะเช่นนี้แหละคือตัว สัจธรรมแท้ เป็นการเห็น "ธรรมญาณ" อันเป็นการตรัสรู้นั่นเอง"

           เสินซิ่วได้ฟังแล้ว จึงถึงแก่อาการงงงวยนอนนั่งไม่เป็นสุข การที่ภาวะจิตยังตกอยู่ในรูปและนามย่อมหวั่นไหว เพราะยังยึดอยู่ในความดีและความชั่ว หรือ "มี" กับ "ไม่มี" จึงเห็นได้ ทั่วไปในหมู่ของพุทธศาสนิกชนติดอยู่กับการสร้างบุญจึงกลายเป็นเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกันได้เสมอ สร้างบุญต้องได้หน้าตามีชื่อเสียงทำให้เกิดความฟูใจ รื่นเริงใจเมื่อเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎของอนิจจัง ความทุกข์จึงปรากฎขึ้นแทนที่ เพราะไม่มีและไม่ได้บุญตามที่ปรารถนา ส่วนท่านฮุ่ยเหนิง เมื่อได้ยินโศลกนี้ก็ได้ทันทีว่าเป็นเพียงโศลกที่ยังติดข้องอยู่ในรูปลักษณ์ แม้ ว่าตำข้าวอยู่ในครัวถึง 8 เดือน โดยไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ จากพระอาจารย์หงเหยิ่นเลย จึงขอให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งพาไปยังช่องกำแพงนั้นและพบกับเสมียนแห่งตำบลเจียงโจวชื่อว่าจาง ยื่อย่ง ให้ช่วยอ่านโศลกให้ฟัง เพราะท่านฮุ่ยเหนิงไม่รู้จักหนังสือ เมื่อเสมียนผู้นี้ได้ฟังว่าท่านฮุ่ยเหนิงมีโศลกเหมือนกันก็อุทานในเชิงดูถูกภูมิปัญญาว่า "ประหลาดแท้ ท่านก็มาแต่งโศลกกับ เขาด้วย"

  คำตอบของท่านฮุ่ยเหนิงเป็นสัจธรรมจนถึงบัดนี้ว่า "ถ้าเป็นผู้แสวงหาบรรลุธรรม อย่าดูถูกคนที่เริ่มต้น คนที่จัดว่าเป็นคนชั้นต่ำก็อาจมีปฏิภาณสูงได้ ส่วนคนชั้นสูงก็ปรากฎว่า ขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านดูถูกคนจึงจัดว่าทำบาปหนัก" เราจึงไม่อาจแบ่งคนหรือตัดสินใครๆ ได้ที่รูปลักษณ์ซึ่งแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ "ธรรมญาณ" ซึ่งมีศักยภาพ เหมือนกันทุกคนและเท่าเทียมกัน

ถอดรหัสคัมภีร์มรณะ

 
ถอดรหัสคัมภีร์มรณะ
scripture die 2018
 

ปี พ.ศ.2560 หรือ ค.ศ.2017 จะมีภัยพิบัติอะไร
   พวกเราก็ช่างถามกันเสียจริงๆ ผู้เขียนได้ไปค้นคว้าหาคำตอบมาให้ โดยได้มาจากบทความเรื่องหนึ่ง ที่ใกล้เคียงกับคำถามที่สอบถามมา  บทความเรื่องดังกล่าว คือ “วาระสุดท้ายของโลก จาก คำทำนายในคัมภีร์มรณะ” โดยผู้เขียนขอสรุปสาระสำคัญให้ทราบ ดังนี้

(1) โลกของเรายังมีอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี มิใช่วาระสุดท้ายเหมือนชื่อ “คอลัมภ์” ดังกล่าว เวลาอ่าน ควรมิสติและทำสมาธิด้วย จึงจะเข้าใจมากขึ้น เรื่องของเหตุการณ์ในอนาคต
ห้ามอ่านโดยขาดสติ แต่ต้องมีวิจารณญาณให้มาก

(2) คำทำนายนี้ เขียนอยู่ในม้วนคัมภีร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี มีอยู่ประมาณ 800 ม้วน เป็นหลักฐานของ “ศาสนายิว” โดยได้ค้นพบในถ้ำต่างๆ ของ “ภูเขาคุมรัน”
ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทะเลมรณะ (Dead Sea) เท่าไร ในประเทศอิสราเอล

(3) สำนักวาติกัน ได้แปลความออกมาเผยแพร่โดยมีเนื้อหาโดยย่อว่า
ในวันที่ 3 มกราคม ปี 2018 ชาวโลกจะได้ขึ้นสวรรค์ จำนวน 100 ล้านคน โดยประชากรที่ทราบ จะได้แต่มองตามอย่างสิ้นหวัง (เพราะทำความดีไม่เพียงพอ สำหรับคนที่เหลืออยู่บนโลก ก็จะอยู่อย่างลำบากภายใต้สงครามและความวุ่นวาย มิได้หมายความว่า ตายขึ้นสวรรค์ในวันเดียว จำนวน 100 ล้านคน เพียงแต่มีสิทธิขึ้นสวรรค์ได้ 100 ล้านคนเท่านั้น) ปี 2018 เท่ากับปี พ.ศ.2561
ในวันที่ 7 มกราคม ปี 2018 (พ.ศ.2561) บุรุษที่ต่อต้านพระคริสต์ จะยึดครองสหประชาชาติได้ และประกาศตนว่า “เป็นบุรุษแห่งสันติภาพ” (โปรดตามไปดู อีกประมาณ 12 ปี เท่านั้น ว่ามันผู้นั้นเป็นใคร)
เขาผู้นั้น จะสั่งให้ทหารจีน 200 ล้านคน บุกยึดอิสราเอล และตะวันออกกลาง เพื่อปกปักษ์รักษาน้ำมัน

  ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 2018 (พ.ศ.2561) จะเห็นสัญลักษณ์มหัศจรรย์ บนท้องฟ้า และจะเห็นจานบินอวกาศนอกโลกชัดเจนลงมาจอดบนพื้นโลก

  24 - 26 กุมภาพันธ์ ปี 2018 (พ.ศ. 2561) โลกจะมืดมิด 3 วัน 3 คืน (อีก 12 ปี ก็คงจะได้รู้ว่าจริงไหม)

  เดือนมีนาคม ปี 2018 (พ.ศ.2561) บุรุษผู้ต่อต้านพระคริสต์ จะประกาศให้เลิกระบบเงินตรา โดยใช้ระบบเครดิตการ์ดสากลมาใช้ (เหลือเวลาอีกเพียง 12 ปี ก็จะรู้
ว่าจริง หรือ บ้าแหกตากันหรือเปล่า ในคัมภีร์มรณะม้วนนี้)ต่อมา จีนจะบุกยึดอียิปต์ กับบางส่วนของอาฟริกาใต้

  ในเดือนมิถุนายน ปี 2018 (พ.ศ.2561) ชาติตะวันตก จะเรียกร้องให้ใช้ระเบิดปรมาณูถล่มจีน ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะลอสแอลเจลิส กับซานฟรานซิสโก ก็
เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทำให้เมืองทั้งสอง จมหายไปใต้พื้นดิน

  ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 (พ.ศ.2561) จีนถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ 18 ลูก ในที่สุดต้องยอมถอนทหารออกจากตะวันออกกลางในเดือนสิงหาคม ปี 2018
ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาพบกับคลื่นความร้อนเผ่าผลาญแหล่งเกษตรกรรมในพื้นที่ตะวันตกตอนกลางของอเมริกา ประชาชนต้องพบทุพพิกภัยแสนสาหัส

  12 สิงหาคม ปี 2018 (พ.ศ.2561) ผู้ต่อต้านพระคริสต์ถูกลอบสังหารโดยถูกยิงที่ศีรษะ กลางนครเยรูซาเล็ม แต่รอดตายอย่างปาฎิหารย์ ทำให้ผู้คนยิ่งหลงศรัทธาผู้ต่อต้าน
พระคริสต์มากขึ้น ยกขึ้นเป็น “ผู้มาโปรดโลก”

   ปลายปี 2018 - ทวีปแอตแลนติส ที่จมหายไปเมื่อ 12,500 ปีก่อน จะกลับลอย (พ.ศ.2561) ตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ ณ บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก ตอนใต้ ใกล้บิมินิ
ทำให้มนุษยชาติค้นพบเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากกว่า
เดิมมาก ตลอดจนรู้ถึงความลับของยานอวกาศที่มนุษย์ต่างดาวใช้โดยสาร


(4) ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2018 (พ.ศ.2561) ฟลอริดา และโอเรกอน จะถูกไฟป่ามหากาฬทำลายเสียหายอย่างสาหัส

(5) สันตะปาปา จะถูกบีบให้ออกจากกรุงโรม ไปลี้ภัยที่ลอนตอน และผู้ต่อต้านพระคริสต์ จะยึดเอาวาติกันเป็นวังส่วนตัวของตน

(6) ชาวโลกทุกคนจะถูกจับฝังชิพคอมพิวเตอร์ที่หลังมือซ้าย
- จะมีศาสนาใหม่เกิดขึ้น และบูชาแก้วผลึก (คริสตัล) เป็นสรณะ
- จะพบร่องรอยอารยธรรมที่เก่าแก่บนดาวอังคาร และจารึกว่ามนุษย์อวกาศจากดาวอังคารมาสู่โลกครั้งแรก มีชื่อว่า อาดัม กับอีฟ
- หิมะบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์จะละลาย เพราะความร้อนของโลกเพิ่มขึ้น จะพบเรือของโนอาร์ อยู่ห่างจากยอดเขาไม่กี่ร้อยเมตร

(7) วันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2019 (พ.ศ.2562) พระไคร้สต์ ประกาศวันแห่งคำพิพากษา เพื่อยุติปัญหาทั้งปวง เป็นช่วงเริ่มยุคทองแห่งสันติภาพและความอุดมสมบูรณ์
ซึ่งมีระยะเวลาต่อจากปี 2562 ยาวนานไปอีก 1,000 ปี
(8) ในวันที่ 1 มกราคม ปี 3006 (พ.ศ.3549) มนุษย์ที่เหลืออยู่บนโลก จะได้ขึ้นสวรรค์ทั้งหมด
บนโลกใบนี้ ก็จะเหลือพวกสัตว์บกและสัตว์น้ำ กับสัตว์ปีก ภายใต้การดูแลของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

- คำทำนายนี้ จริงเท็จเป็นประการใด ผู้เขียนไม่สามารถยืนยันได้ แต่เขาอ้างว่าสำนักวาติกันเป็นผู้แปลมา แต่ผู้เขียนไม่ค่อยเชื่อถือนัก ผู้เขียนยังคงมีความเห็นเหมือนเดิมที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือ “สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ความไม่แน่นอน”
- อย่างไรก็ดี ในบรรดาผู้ที่จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือจองพื้นที่บนสวรรค์ไว้ ผู้เขียนเชื่อว่า
- “บรรดาคูรบาอาจารย์” ที่มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณดีแล้ว พวกหนึ่ง
- ผู้ที่เป็นนักบูรณะพัฒนาชนบท ด้วยจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตที่ปรารถนาดี อีกพวกหนึ่ง
- ผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รักษาศีลเป็นกิจวัตร (ชี เณร สงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา) พวกหนึ่ง
- ผู้มีพรหมวิหารธรรมเป็นประจำ พวกหนึ่ง
- ผู้มีกุศลบถ 10 เป็นประจำ อีกพวกหนึ่ง
- ผู้มีจิตวิญญาณที่ต้องการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ให้มีโอกาสเพิ่มขึ้น พวกหนึ่ง
- สมาชิกชมรมศาสนาและการการกุศล พวกหนึ่ง
- สมาชิก “ร่วมด้วยช่วยกัน” ก็เป็นอีกพวกหนึ่ง
- และกลุ่มบุคคลที่ฝึกจิตเป็นประจำ พวกหนึ่ง
- ผู้ที่ไม่เบียดผู้อื่น อีกพวกหนึ่ง
- รวมทั้งกลุ่มบุคคลต่างๆ อีกมากกว่า 20,000 กลุ่ม
บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลที่ควรได้ที่พักบน 6 สวรรค์ชั้นฟ้า เป็นสิ่งที่ค่อนข้างแน่นอน รวมแล้วมีมากถึง 100 ล้านดวงวิญญาณ เพียงแต่ เป็นเราหรือท่าน หรือไม่ ก็แล้วแต่บุญกรรมที่เรากระทำทั้งสิ้น

บทความของ อ.มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผลกระทบจากพายุสุริยะ

Solar wind effect : กรณีผลกระทบจากพายุสุริยะ

   Solar wind effect : กรณีผลกระทบจากพายุสุริยะ
 
 
กรณีผลกระทบจากพายุสุริยะ
มีโอกาสปรากฏทุก 11 ปี
หรือปรากฏ แบบรุนแรงในอนาคตระยะ 1,000-2,000 ปี


สิ่งที่ได้รับประโยชน์จากพลังงาน
ดวงอาทิตย์ อย่างมากมายนั้น แต่แท้จริงแล้ว
ทราบหรือไม่ว่า พลังจากต้นกำเนิดจากดวงอาทิตย์ เป็นกัมมันตรังสีสูงมาก เป็น
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะถูกพัดพามาด้วย พายุสุริยะ (Solar Wind)

ความเข้มข้นสูงของพายุสุริยะ สามารถพัดได้ไปไกลถึง
ดาวพฤหัส ด้วยความเร็ว
300 – 800 กิโลเมตรต่อนาที โลกเรารับแรงปะทะจากพายุสุริยะ ตลอดนับพัน
ล้านปี ตั้งแต่โลกกำเนิด แต่ทว่าการปะทะไม่เกิดผลเสียหายต่อโลก ด้วยระบบ
ของโลกมีสนามแม่เหล็ก คอยปกป้องรังสีดังกล่าวจากดวงอาทิตย์

จะนับว่าเป็นเรื่องโชคดี หรือเพราะระบบของธรรมชาติแห่งจักรวาลก็สุดแล้วแต่
การพิจารณา ที่โลกเรามีสนามแม่เหล็กคอยปกป้อง เพราะดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
บางดวงก็ไม่มีศักยภาพของสนามแม่เหล็กดังเช่นโลกของเรา

รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic radiation) ของดวงอาทิตย์เป็นแหล่ง
ความร้อนของ Plasma (ก๊าซเหลวในสภาพร้อนจัดมาก) พายุสุริยะเป็นต้นเหตุ
ุการเปลี่ยนแปลงมากมายและยังมีอิทธิพลต่อ รังสีคอสมิก (Galactic cosmic
rays) วิ่งผ่านสู่ชั้นบรรยากาศโลกตลอดเวลา

จากการสำรวจพบว่า ทุก 2,000 ปี จะเกิดผลกระทบทำให้ระบบสนามแม่เหล็กโลก
ให้อ่อนแอลง
จากอนุภาครังสีคอสมิก (Higher-energy cosmic-ray particles) เจาะทะลุเข้าถึง ชั้นบรรยากาศส่วนกลาง หมายความว่าสามารถเกิดผลกระทบต่อ
สภาพอากาศ บริเวณผิวโลกได้
 
 
สนามแม่เหล็กโลกปกป้องเรา ขณะพายุสุริยะพัดเข้ามา
 
 
พายุสุริยะ ลักษณะเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่พัดปะทะโลกอย่างรุนแรง แล้วผ่านไปถึงดาวพฤหัสได้
 
 
เมื่อใกล้โลกพายุสุริยะ (Solar-wind) มีผลกระทบต่ออวกาศ ซึ่งขณะนี้ตรวจพบ
การเปลี่ยนแปลงไป จากปัจจัยแตกต่างกันในบรรยากาศ เช่น เส้นการเดินทาง
ของพายุ อุณหภูมิของบริเวณพื้นผิวที่พายุรวมตัวกันรุนแรงเพียงใด เหล่านั้นเชื่อม
โยงกับอัตราเปลี่ยนค่าของไฟฟ้า ด้วยความเย็นจัด จากความสูงของกลุ่มเมฆซึ่ง
เกิดจากเกร็ดน้ำแข็ง (Ice crystals) แฝงตัวกันอยู่ในเมฆชั้นกลาง

ลักษณะดังกล่าวอาจเกิดในพื้นที่วงกว้าง เป็นไปได้ที่มีกลุ่มหมอกเกิด แนวระดับ
ใกล้พื้นดินจนถึงระดับบน ด้วยอิทธิพลสนามไฟฟ้า (Electric field) ในเมฆเกิด
การไหลเวียนระหว่างชั้นบรรยากาศ กับชั้นใกล้พื้นดิน มีความเป็นไปได้ที่ทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ ในการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า

นั่นคือผลกระทบต่อโลกถึงแม้ อาจไม่รู้ลึกรุนแรงกับมนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่กระทบ
ต่อระบบสื่อสารของดาวเทียม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เชื่อมโยงโลก ในนิยาม
ใหม่ว่า
พายุอวกาศถล่มโลก
 
 
มหาสมุทรเป็นบริเวณสะสมและถ่ายทอดรังสี ภูเขาน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือลอยสู่มหาสุมทร
ด้านขั้วโลกใต้ จากสภาวะโลกร้อน (เฮลิคอปเตอร์กลุ่มกรีนพีซ บินสำรวจเทียบกับภูเขาน้ำแข็ง)
 
 
อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร (สีส้ม สีเหลือง) มีความร้อนสูงในพื้นที่วงกว้างมาก
 
 
การเปลี่ยนแปลงด้านอุตุวิทยา เพราะมีความสัมพันธ์กับปริมาตรรังสีดวงอาทิตย์
กระทบกับโลกอย่างไม่ต้องสงสัย โดยทั่วไปสภาพอากาศของโลกจะรับอิทธิพล
จากมหาสมุทรด้วยพื้นที่น้ำมากกว่าผืนดิน

ฉะนั้น หากมหาสมุทรสะสมแล้วถ่ายทอดรังสีออกมาจำนวนมาก สามารถตรวจพบ
ในระยะเวลา 100 ปี ทุก 11 ปี (Solar magnetic cycle) พายุสุริยะจะแสดงผล
กระทบต่อสภาพอากาศ โลกระยะสั้นๆไม่กี่วันโดยมีแบบอย่างที่ไม่แน่นอน
 
 
แสดงการตรวจความเร็ว พายุสุริยะค่าความเร็ว เป็น Km/s โดยสถาบัน SOHO
 
 
แสดงการตรวจวัด อนุภาคโปรตอนจากดวงอาทิตย์ กระทบต่อโลก
 
 
ภาพแสดง รูปแบบการกำเนิดโปรตรอนจำนวน 30 พันล้านหน่วย
จากเลเซอร์ จุดเล็กๆขนาด 400 ไมครอน
 
 
อนุภาคโปรตรอน (Protons) เมื่อระเบิดบนดวงอาทิตย์ใช้เวลา 30 นาทีเดินทาง
สู่แนวสนามแม่เหล็กโลกแล้วแทรกซึม เข้าชั้นบรรยากาศโลก ในระยะ 1-4 วัน
กลุ่มเมฆหมอกของพายุสุริยะ จะกระทบอย่างแรงกับแนวสนามแม่เหล็กโลก
และหลุดเข้าสู่บรรยากาศโลกบางส่วน เมื่อเข้าสู่ระดับความสูง 100-200 กม.

สิ่งที่เกิดคือ เราจะเห็นเป็นลักษณะแสงเหนือหรือ ออรอร่า(Aurora) ที่สวยงาม
แต่เกิดการรบกวนระบบการสื่อสารดาวเทียมต่างๆในชั้นบรรยากาศ ระบบนำร่ิอง เครื่องบิน เรือเดินสมุทร สัญญาณโทรศัพท์ เกิดสับสนสร้างความเสียหายได้

หากจำนวนมากเข้าสู่ระดับพื้นโลก รังสีจากพายุสุริยะจะทำลาย เซลล์ในร่างกาย
กระทบถึงโครโมโซม (Chromosome) ที่เป็นต้วกำหนดลักษณะพันธุกรรมของ
มุนษย์ ให้มีโอกาสเกิดมะเร็งหรือโรคเกี่ยวกับผิวหนัง อาจมีบางกรณีกระทบถึง
โครงสร้างสมองของมนุษย์ ด้วยความเข้มข้น อนุภาคบางชนิดจากดวงอาทิตย์
ทำให้เกิดอาการปวดหัว ร่างกายมีความร้อนโดยไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อ ค.ศ. 1989 ที่ Montreal พายุลมสุริยะพัดเข้าสู่บริเวณนั้น มีผลกระทบต่อ
ระบบไฟฟ้าทั้งเมือง ประชากร 6 ล้านคน ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ 9 ชั่วโมง นอก
จากนั้นมีผลถึงทางตอนเหนือของอเมริกาและสวีเดน

จากการศึกษาของสถาบัน Union of Radio Science International พบหลักฐาน ชัดเจนว่า รังสีสนามแม่เหล็กจากพายุสุริยะ มีผลการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่ ระบบ
ชีววิทยาของมนุษย์ (Human biological systems) และพบการเปลี่ยนทิศของ
นกอพยพที่อาศัยเส้นสนามแม่เหล็กโลก ทั้งระบบนำร่องของปลาโลมาและสนาม
แม่เหล็กทำให้เข็มทิศ มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ส่วนผลกระทบกับมนุษย์ จากสนามแม่เหล็กพายุสุริยะ อาจมีความเป็นไปได้ใน
ระบบสมองหากมีการเกิดรุนแรงเพิ่มขึ้น ของพายุสุริยะ นี้เพียงเป็นตัวอย่างการค้น
พบผลการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของโลก จากปรากฏพายุสุริยะผ่านเข้าสู่โลก
ปริมาณไม่มาก หากอนาคตมีมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาี่อาจแสดงผลกว้างขวางมาก
กว่าเดิมหลายร้อยเท่า
 
 
 
แสงออรอร่าเกิดจากอนุภาคมากับ พายุสุริยะ
 
 
เมื่อ ค.ศ. 1989 ได้เกิดกับมนุษย์อวกาศ ขณะสำรวจดวงจันทร์ พายุสุริยะพัดผ่านทำให้ชุดอวกาศ
(Space suit) ถูกเผาไหม้จนขาดทั้งที่ ชุดอวกาศได้รับการออกแบบสำหรับป้องกันรังสีต่างๆอย่างดี
การเกิดดังกล่าวมีโอกาสให้มนุษย์อวกาศอาจเสียชีวิตได้ ปัจจุบันชุดอวกาศออกแบบใหม่
หนา 13 ชั้น ประมาณ 9 ซม.หนัก 140 กก. ราคาชุด 42 ล้านบาท เพื่อปกป้องรังสีรุนแรงได้
 
 
ความเป็นไปได้ :

แน่นอนที่สุดมีการเกิดทุกๆ 11 ปี เพียงระยะสั้นๆ หากยังลดปัญหาสภาวะปฏิกิริยา
เรือนกระจกไม่ได้ผล จะเป็นการเร่งโอกาสเกิดแบบถาวรและรุนแรง มีแนวโน้มสูง
ขึ้นตามลำดับ ในระยะ 1,000 - 2,000 ปี

ประการแรกมนุษย์จะประสบปัญหาในการสื่อสารต่างๆทำให้โลกชะงักไปแล้ว
อันดับต่อมา ห่วงโซ่ระบบต่างๆของมนุษย์และสัตว์เกิดปัญหาใหญ่ด้วยการสะสม
รังสีในระบบร่างกายที่ได้รับจาก น้ำ อาหาร โรคชนิดใหม่อาจเกิดขึ้น เช่น ภูมิแพ้
รังสี ภูมิแพ้แสงดวงอาทิตย์

ปัจจัยที่ยิ่งใหญ่คือ ผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลก เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ของ
การส่งผลสลับทิศทางขั้วโลก สถิติโลกสลับขั้วเฉลี่ยจะเกิดทุก 600,000 ปี จาก
โลกกำเนิดมาแล้ว 4.6 พันล้านปี การสลับขั้วโลกครั้งล่าสุดผ่านมาแล้วประมาณ
200,000 ปี

การเกิดโลกร้อนมี
การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก กับเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกสภาพอากาศโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จะทำให้โลกมีปัญหาการหมุนรอบ
ตัวเองช้าจากปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ตามแนวถ่วงของเส้นศูนย์สูตรเป็นองค์ประกอบ
เชื่อมโยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปสู่ระบบสนามแม่เหล็กโลกให้อ่อนแอลงไปอีก
เป็นผลให้การต่อต้านพายุสุริยะ ไม่สมบูรณ์ดังเดิมเหมือนอดีต

การแก้ไขเหตุการณ์ :

เร่งแก้ไขปฏิกิริยาเรือนกระจก ร่วมมือใช้ทรัพยากรโลกอย่างประหยัดตามความ
จำเป็น ดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง หาวิธีต่อต้านรังสี จากพายุสุริยะด้วยวิธี
พัฒนาการระบบของมุนษย์โดยหลักธรรมชาต ิอาจจะรอดพ้นวิกฤตดังกล่าวได้
มิฉะนั้นอนาคต ต้องใส่ชุดอวกาศทั้งที่อยู่บนโลก หรือต้องหยุดการเดินทางโดย
เครื่องบินอย่างสิ้นเชิง เมื่อโลกในอนาคตมีฤดูพายุสุริยะเกิดขึ้น

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และสังคม :

ปัจจุบันโครงการ Soho (จัดตั้งเมื่อปี 1995) เป็นความร่วมมือของ NASA - ESA
(European Space Agency) ส่งยานอวกาศเฝ้าระวังและตรวจสภาพผลกระทบ
ดวงอาทิตย์กับโลก โดยบันทึกรายงานความเร็ว ความหนาแน่นของพายุสุริยะที่
พัดผ่านตลอด 24 ชั่วโมง ทำการวิเคราะห์ผล ระยะยาวเพื่อเตรียมความพร้อม

บรมยุคกำเนิดโลก สมัยมหายุค ขุมนรกแตก

Birth of earth : บรมยุคกำเนิดโลก กัลป์สมัยมหายุค ขุมนรกแตก

 
   Birth of earth : บรมยุคกำเนิดโลก กัลป์สมัยมหายุค ขุมนรกแตก
 

คำประกาศ


เจตนาต้องการให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเรื่องจริง และเกิดจิตสำนึก ร่วมช่วยกัน
ปกป้องรักษาระบบธรรมชาติ ที่ใช้เวลาพัฒนาการอย่างยาวนาน นับพันล้านปี
เพื่อใช้อย่างคุ้มค่า ประหยัดและได้รับประโยชน์ให้ยาวนานที่สุด
เพราะทรัพยากรธรรมชาติของโลก มนุษย์ไม่มีความสามารถสร้างเองได้เลย

วันนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายในระบบสุริยะ ซึ่งได้กำเนิดมาพร้อมโลก
ก็ไม่ประสบผลที่จะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต เช่นบนโลกได้ จึงมีข้อสรุปว่า
โลกเท่านั้น คือ ดาวเคราะห์สมบูรณ์แบบที่สุด ในระบบสุริยะ

และเราไม่สามารถที่จะ ย้ายหนีบ้านหลังใหญ่ หลังนี้ ไปไหนได้อีกแล้ว
จึงควรร่วมกันดูแล รักษาทรัพยากร บ้านหลังนี้อย่างเข้มงวด
ที่สุด

หากท่านเห็นว่า มีประโยชน์ต่อสังคม เพื่อตระหนัก และเข้าใจต่อการ
ร่วมกันรักษาสภาพแวดล้อมของโลก สามารถนำเผยแพร่ได้ สำหรับเพื่อ
การศึกษาเป็นความรู้ โดยอิสระ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
ยกเว้นไม่อนุญาต เฉพาะในกรณีนำไปเพื่อประโยชน์ด้านการค้า

อนึ่งภาพประกอบบางส่วนได้รับการเอื้อเฟื้อจาก Don Dixon
ศิลปินเขียนภาพประกอบทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงของโลก
A very special thank you to Don Dixon

 
 
แม้ว่าในหลายคำภีร์ ของลัทธิต่างๆ พยายามอธิบายถึงการกำเนิดโลก ด้วยความ
มหัศจรรย์แบบพิเศษเพียงใด จากหลักฐานความเชื่อ บอกเล่าต่อกันมาอย่าง
ซับซ้อนของปรากฎการณ์ตามความเข้าใจแต่ละยุค คงปฎิเสธไม่ได้ถึงความเพียร
พยายามที่จะอธิบาย บ้านหลังใหญ่ คือ โลก ซึ่งทุกคนได้อาศัยอยู่ในยุคนั้นๆ

ทางทฤษฎี การพยายามสืบค้น ร่องรอยด้านกายภาพ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จะไข
ปริศนาต้นทางแห่งชีวิต แต่ก่อนหน้าที่ชีวิตจะให้กำเนิด ยิ่งเป็นสิ่งน่าสงสัยว่ามี
ความเป็นไปเป็นมาอย่างไร ของหน้าตาโลกครั้นอดีตดึกดำบรรพ์

เราเข้าใจเพียงใดกับโลก บ้านหลังใหญ่ี่ ซึ่งใช้อาศัยอยู่ท่ามกลาง
ระบบสุริยะ
อันกว้างขวาง ใน จักรวาล อันไพศาลนี้
 
 
กำเนิดดวงอาทิตย์ ต้นทางมวลพลังงานแห่งชีวิต
  
 
เริ่มจากดวงอาทิตย์ มีระบบกำเนิดเหมือน ดาวเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับดาวอื่นนับ
หลายล้านล้านดวงในดาราจักร โดยมีพัฒนาการต่อเนื่องทุกๆนาีที อย่างยาวนาน
ท้ายที่สุด
ดวงอาทิตย์ก็มีจุดจบ ไปตามอายุขัยเช่นกัน

ขณะที่มีความโกลาหลอย่างสุดขั้ว ตลอดอาณาจักรแห่งระบบสุริยะ น้องใหม่ของ
ดาราจักร ทางช้างเผือก ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อนดาวเคราะห์อื่น ด้วยความวุ่นวาย
อย่างซับซ้อน และสืบเนื่องทำให้เกิดรูปแบบดาวเคราะห์ตามมา จากการผสมรวม
ของเฆมหมอก
Nebul ตัวร่วมกัน มีทั้งความร้อนสูง ความกดดันสูง และแรงดึงดูด
อย่างไม่เป็นระบบ

ความไม่เป็นระบบเหล่านั้น เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่มีสิ่งใดควบคุมได้ ด้วยการ
นำพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งมากขึ้น และที่นั้นก็ทวีความรุนแรง ของแรง
กดดัน เมื่อแรงกดดันพุ่งเพิ่มทวีคูณ ส่งผลผันดันกัน ให้เกิดแรงดึงดูด

ท้ายที่สุดแรงดึงดูด ส่งผลต่อทุกสิ่ง ดึงดูดให้
มวลสสารธรรมชาติ ยุบตัวกันเป็น
ก้อนวัตถุและการเกิดวนเวียนเริ่มต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มวลสารดังกล่าวพอกเพิ่มกัน
เป็นกลุ่มๆเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นบางก้อนยุบตัวรวมจากวัตถุดิบที่เป็นของแข็ง
ส่วนใหญ่ บางก้อนยุบตัวรวมผสมกัน ระหว่างของแข็งและก๊าซที่มากกว่าแบบ
ผิดปกติ โดยทุกดวงมีความทึบหนาแน่น ของวัตถุดิบอยู่ที่แกนใจกลาง
 
 
 
 
 
 
นับเป็นภาระหนัก ต่อเนื่องหลายพันล้านปี หรือมากกว่า ระบบต่างๆเริ่มเสถียรขึ้น
ความยุ่งยากที่กดดันมาตลอด เริ่มลดระดับลงไป เกิดความสงบนิ่งของระบบ แต่ใน
เบื้องลึกการแสดงว่าสงบนิ่งนั้น ทุกอย่างมิได้เฉยชา ความร้อนจากการแผ่รังสียัง
ทำงานต่อไปโดยมองไม่เห็น ขบวนอนุภาคอันตรายจากดวงอาทิตย์ ยังแผ่ซ่านไป
ทุกพื้นที
ด้วยลมสุริยะ อย่างไม่หยุดยั้ง

โครงสร้างระบบสุริยะปรากฎใหม่ๆ ดาวเคราะห์แต่ละดวง ได้รับมรดกวัตถุดิบแต่ละ
แต่ละประเภทจากการก่อตัวอย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าแร่ธาตุ สารประกอบใหม่จากการ
รวมตัวอย่างไม่คำนึงถึงระดับชั้น ผสมผสานท่ามกลางปฎิกิริยาที่ต่างกันไป

เพราะฉะนั้น
ดาวเคราะห์ ในครอบครัวระบบสุริยะ มีความแตกต่าง ทั้งรูปร่างขนาด
หน้าตาและโครงสร้าง ที่เอื้อจากส่วนผสมวัตถุดิบ ตั้งแต่กำเนิดไม่เหมือนกันและ
การกำเนิดที่มีระยะทางวงโคจร ใกล้ไกลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของผลพ่วงที่จะตามมา
ต่อสภาพแวดล้อมดาวเคราะห์ แต่ละดวงในอนาคต
 
 
วันแรกของโลก ท่ามกลางความสับสน
 
 
 
ต่อมาวันแรก (ราว 4,600 ล้านปีที่ผ่านมา) โลกได้เผยโฉมหน้าพร้อมๆกับดาวดวง
อื่นที่กำเนิดไล่เรียงออกมา ทุกอย่างผ่านมาไม่ได้ราบรื่นแม้แต่น้อย ระบบสุริยะเต็ม
ไปด้วยฝุ่นหมอก และเศษวัตถุที่หลงวงโคจร วิ่งชนประสานงานกันนับไม่ถ้วน

บางส่วนแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ตั้งแต่เล็กจิ๋วแบบฝุ่นผง จนแตกเป็นระดับ
นับร้อยกิโลเมตร นอกจากนั้นโลกก็เป็นเป้าหมายถูกชนปะทะเรื่อยมา พื้นผิวลุก
เป็นไฟ เสียงระเบิดดังมาจากทุกทิศ เต็มไปด้วยหินร้อน ควันสกปรก โลกเกิดใหม่
ในวันนั้นเหมือนขุมนรกแตก จึงเรียกว่า Hadean Era หรือ Hellish Era (มหายุค
นรกแตก หรือปีศาจแห่งขุมนรก) เป็นสภาพแวดล้อมโลกเกิดอย่างต่อเนื่องกันยาว
ระหว่าง 4,500-3,800 ล้านปี ของช่วงแรกกำเนิดที่ผิวโลกเริ่มแข็งตัวจากของเหลว

การถูกพุ่งชนปะทะจาก
ดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาต ทำให้เกิดหลุมบ่อไปทั่ว กับ
ดาวเคราะห์ทุกดวง บางดวงถูกชนแบบกระหน่ำแบบนับไม่ถ้วน นับว่าเป็นจุดสำคัญ
เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิว ทำให้เกิดความสูงต่ำของพื้นที่และแอ่งกะทะเหมือน
เตรียมรองรับ ให้เกิดความสมบูรณ์ของดาวเคระห์ โดยเฉพาะโลกอนาคต
  
 
 
 
พื้นผิวโลกในขณะนั้น ยังมีความร้อนสูง ตลบอบอ่วนไปด้วยควัน และก็าซมีเทน
โขดหินต่างๆเป็นปุ่มปม ขุรขระไม่สวยงาม มีสีดำอมแดงดูสก ปรกด้วยคราบเขม่น
บางพื้นที่สีดำทึบ จากการชนของอุกกาบาต

เหนือผิวดินหนาแน่นไปด้วยรังสี Ultraviolet ที่มีอันตรายต่อระบบชีวิต และเป็นสิ่ง
ไม่เอื้อต่อการกำเนิดของชีวิต ในขณะนั้นแม้แต่น้อย

ภาพทิวทัศน์ต่างๆที่มองเห็นส่วนใหญ่ เป็นสีแดงอมส้มจากปฎิกิริยาของก็าซมีเทน
มีความหนาของควันดำ ยังไม่มีสีเขียวสดหรือฟ้าสดใสให้เห็น เพราะขณะนั้นชั้น
บรรยากาศยังไม่มี ก๊าซออกซิเจนและน้ำแม้แต่น้อย ดูเหมือน
โลกอื่น ไม่เหมือน
โลกของเราในเวลานี้เลย
 
 
กำเนิดดวงจันทร์
 
 
หลังจากโลก เผยโฉมเพียง 100,000 ปี (หรือ 4,500 ล้านปีที่ผ่านมา) เกิดปรากฎ
ดวงจันทร์ก่อกำเนิดตามมา การส่องสาดแสงเริ่มต้นไม่สดใสนัก เหตุเพราะระบบ
สะท้อนค่ารังสีจาก
ดวงอาทิตย์ ยังไม่สมบูรณ์ ช่องว่างในอวกาศระหว่างดวงจันทร์
โลก และดวงอาทิตย์ยังมีความหนาแน่นไปด้วย ฝุ่นหมอกอวกาศหลงเหลืออยู่จาก
การก่อตัวในระบบสุริยะ คอยขวางกั้นลำแสง

หากมองจากโลกในขณะนั้น ดวงจันทร์แรกกำเนิด พื้นผิวส่วนใหญ่มีความราบเรียบ
ไร้ร่องรอยหลุมบ่อดูเหมือนมีความใหญ่โตมากกว่าวันนี้ เพราะมีวงโคจรที่ใกล้โลก
แต่หลังจากนั้นอีก ก็ถูกชนปะทะเริ่มเกิดขึ้นเหมือนโลกเช่นกัน จึงเกิดหลุมบ่อมาก
มายขึ้นต่อมาภายหลัง
 
 
 
แบคทีเรียรุ่นแรก ยกขบวนเผชิญชะตากรรม
 
 
ถัด มาอีก 800,000 ปีนับจากวันแรกของโลก (หรือ 3,800 ล้านปีที่ผ่านมา) ขณะนั้น พื้นผิวโลก ยังเต็มไปด้วยรังสีที่อันตรายเช่นเดิม สภาพผิวหินมีรอยดำขึ้น มองเห็น
ได้ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงเกิดเป็นย่อมๆ ตามร่องลึกขยายตัวเพิ่มโดยทั่วไป

น่าเรียกได้เป็นความอัศจรรย์ ของระบบแบคทีเรียชุดแรกของโลก ได้กำเนิดขึ้น
ท่ามกลางวิกฤตที่โหดร้าย จากสภาพแวดล้อม และได้เผชิญชะตากรรมต่อมาอีก
หลายพันล้านปี หลงเหลืออยู่บริเวณชั้นหินเก่าแก่มีคราบดำๆ อย่างน่าสงสัยว่าเกิด
ขึ้นบนโลกหรือมาจากที่อื่นกันแน่ สภาพแวดล้อมนี้เป็นช่วง Archean Era (มหายุค
สมัยดึกดำบรรพ์ หรือ การพบหลักฐานหินดึกดำบรรพ์ ) เป็นช่วงสภาพแวดล้อม
โลกระหว่าง 3,800-2,500 ล้านปี ต่อเนื่องมาจาก Hadean Era
 
 
 
ความเย็นเริ่มมาเยือน
 
 
ความเปลี่ยนแปลงของโลก ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องตลอดอีก 1,000 ล้านปี
นับจากวันแรกของโลก (หรือ 3,600 พันล้านปี ที่ผ่านมา) ด้วยการเริ่มเย็นตัวลง
สภาพบรรยากาศ ที่เคยร้อนระอุ ขณะนี้ความเย็นขยับตัวเข้าแทนที่อย่างช้าๆี่ ที่ขั้ว
โลก เพราะเป็นบริเวณได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าแถบเส้นศูนย์สูตร

สิ่งที่ยังไม่ได้ขาดหายไป คือ การพุ่งชนปะทะจากอุกกาบาต ยังเกิดขึ้นอย่างต่อ
เนื่องไม่ลดละ ทำให้เกิดหลุมแอ่งใหญ่เล็กทั่วไป การเกิดแต่ละครั้งยิ่งเพิ่มพัฒนา
ของมวลสสารธาตุ มาพร้อมกับอุกกาบาตจากแหล่งอื่น ผสมผสานขณะระเบิดแต่
ละครั้ง ก่อเกิดธาตุใหม่ภายใต้สภาวะใหม่บนโลก พร้อมจะเอื้อประโยชน์ต่ออนาคต
 
 
 
เมฆฝนได้ก่อตัวขึ้น น้ำท่วมล้น เกิดมหาสุมทร
 
 
โฉมโลกกำลังพลิกไปสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างสิ้นเชิง นับแต่ 1,600 ล้านปี
วันแรกของโลก (หรือ 3,000 ล้านปี ที่ผ่านมา) เมฆฝนเริ่มก่อตัวขึ้นด้วยความหม่น
มัวหนาทึบ ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก จากไอความร้อนที่สะสมมานาน

แต่ในช่วงต้นๆ ที่เริ่มการเปลี่ยนแปลง น้ำฝนไหลลงไปตามพื้นที่สะสม ของก๊าซ
มีเทน ทำให้เกิดทะเลแอ่งน้ำสีแดง และคอยๆเจือจางลง

บางพื้นที่ไหลลงปล่อง
ภูเขาไฟ ท่วมล้นรวมกับลำธารลาวา เกิดเป็นน้ำร้อนเดือด
พล่านระเหยกลายเป็นไอน้ำ รวมกับกรดกำมะถัน สู่ชั้นบรรยากาศ สร้างความหลาก
หลายของธาตุในอากาศ สภาพอากาศแจ่มใสขึ้นกว่าเดิม
 
 
 
 
 
หลังจากนั้นตลอด 1,000,000 ปี ฝนตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง ท่วมล้นไปไหลลง
ไปในแอ่งที่ต่ำ ราบลุ่มหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์ หลายแหล่งที่รอคอยรับน้ำ

สภาพแวดล้อมมีความชุ่มช่ำ สดชื่น พร้อมนำความน่ากลัวจากเสียงฟ้าร้อง ฟ้่าผ่า
แสงจากฟ้าแลบ เหมือนดนตรีวงใหญ่ บรรเลงพร้อมๆกับเสียงฝนตกอย่างหนักโดย
ไม่มีวันหยุดต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งยาวนานนับพันปี จึงเรียกว่า Proterozoic Era (มหายุคการจัดระเบียบสภาพอากาศ หรือ การก่อตัวสิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็ก) โดยก็าซต่างๆเริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เป็นช่วงสภาพแวดล้อมโลกระหว่าง
2,600-544 ล้านปี
 
 
 
โลกสดใส ชีวิตใหม่ตามมา
 
 
 
โลกได้บรรลุถึงการเกิดมหาสมุทรอย่างสมบูรณ์ขึ้น พื้นผิวดินขณะนั้นยังเชื่อมต่อ
กันเป็นผืนเดียว โดยมีมหาสมุทรล้อมรอบ ความอุดมสมบูรณ์แผ่กว้างออกไป

ความอัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้ง จากสมดุลยของธรรมชาติ เอื้อให้เกิดชีวิตขนาดเล็ก
เมื่อ 2,600 ล้านปี นับจากวันแรกของโลก (หรือ 2,000 ล้านปีที่ผ่านมา)

เป็นการกำเนิดของ Eukaryotic cells (เซลล์ที่ประกอบด้วยนิวเคลียส) ในยุคเก่าแก่
ซึ่งเป็นส่วนประกอบของพืช และสัตว์ทั้งหลายในยุคต่อๆมา
 
 
 
ความอิ่มเอิบของ ชั้นบรรยากาศ
 
 
 
ระบบน้ำขึ้น น้ำลงเกิดขึ้นสมบูรณ์แบบ มาระยะหนึ่งแล้ว มีความแข็งแกร่งจากแรง
ดึงดูดของดวงจันทร์ เพราะยังมีวงโคจรใกล้โลก การเกิดแต่ละครั้งมีความรุนแรง
กว่าปัจจุบันนี้ ท่ามกลางมหาสุมทรที่ยิ่งใหญ่ของโลก ห่อหุ้มด้วยปุ่ยเมฆสีขาวแซม
ด้วยสีน้ำเงิน ของมหาสมุทร มองจากอวกาศเหมือนลายหินอ่อน เราจึงเรียกโลก
Blue Marble (หินอ่อนสีน้ำเงิน) ในเวลาต่อมา

นับว่าสภาพฤดูกาล มีความสมบูรณ์พร้อมแล้ว ก๊าซออกซิเจนในชั้นบรรยากาศมี
มากมายเหลือเฟือและมีความเสถียร นับจากวันแรกของโลกราว 4,100 ล้านปี (หรือราว 500,000 ปี ที่ผ่านมา) ได้รอคอยสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องใช้ดำรงชีพสืบไป
 
 
 
 
แต่สิ่งที่เราต้องตระหนักขณะนี้ คือ เพียงการอาศัยอยู่ ของมนุษย์อย่างหนาแน่น
เพิ่มขึ้นใน 500 ปีที่ผ่านมา ได้ทำลายทรัพยากร ทำลาย ระบบต่างๆของธรรมชาติ
ไปอย่างน่ากลัว และขาดความรับผิดชอบ มีผลทำให้
สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป จากที่โลกสร้างมาด้วยเวลายาวนาน ถึง 4,600 ล้านปี