แฉ....!! สิ่งจอมปลอมและพฤติกรรมลวงโลกในประเทศไทยเรื่องสิ่งจอมปลอมกับพฤติกรรมลวงโลก มิใช่เรื่องที่ผู้เขียนคิดแล้วเขียนขึ้นมา
แต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้ไปฟังการบรรยาย ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ (รอยัล) ถนนราชดำเนิน
นอก จัดโดยสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย วิทยากรเป็นหนึ่งในกรรมการของ
สมาคมฯ ซึ่งในบางเรื่องผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่บางเรื่องผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งผู้เขียนก็
เชื่อว่าผู้ที่มาฟังการบรรยายส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างจากผู้เขียน มิใช่ใครจะมาครอบงำกัน
ง่าย ๆ เพียงแต่เราควรติดตามเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ทันสมัย โดยวิทยากรอ้างว่า
มีหลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ โดยนำเอาหลักฐานจากทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมายืนยัน
แต่ในระหว่างการบรรยาย วิทยากรก็บรรยายว่า บทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วิทยากรได้ไปตรวจสอบแล้ว เช่น เรื่องลี้ลับใต้บาดาลเขียนโดย กิเลน ประลองเชิง
เกือบทุกเรื่อง เป็นเรื่องโกหกเชื่อถือไม่ได้เลย พร้อมทั้งแขวะสมาชิกสมาคมค้นคว้าทาง
จิตฯบางคน มีอาการโรคจิตประสาท หลงงมงายเรื่องไร้สาระ ข้อมูลคนอื่นเป็นข้อมูลไม่
จริง ข้อมูลวิทยากรเป็นข้อมูลจริง และเชื่อถือได้
ผู้เขียนไม่อยากจะเอ่ยชื่อว่า วิทยากรท่านนี้เป็นใคร ความจริงก็รู้จักกับผู้เขียน
มามากกว่า 10 ปี ก่อนที่จะมาพบกับผู้เขียนในสมาคมฯ แห่งนี้ ถ้าการบรรยายเป็นการ
ให้ความรู้ในอีกแง่มุมหนึ่งของการค้นคว้า โดยไม่ดูถูกภูมิปัญญาของสมาชิกสมาคมฯคน
อื่นก็น่าจะดีมาก แต่การบรรยายที่ดูถูกภูมิปัญญาผู้ฟังและสมาชิกสมาคมฯด้วยกันไม่
ค่อยจะน่ารักเท่าไร
ผู้เขียนมิได้มีอคติใด ๆ กับวิทยากรผู้บรรยาย และเห็นว่าเนื้อหาสาระบางตอนก็
เป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์แก่สังคม ที่จะช่วยขจัดโมหะ ความหลงเข้าใจผิดในสิ่งต่าง ๆ ของ
คนในสังคมไทย ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีมาก เพียงแต่วิทยากรผู้บรรยาย ควรเข้าใจว่า “สรรพ
ความรู้ในโลกนี้ ในโลกแห่งความเป็นจริง มิใช่มีปรากฏอยู่แต่ในพระไตรปิฎก
เท่านั้น สิ่งใดที่ไม่มีในพระไตรปิฎกมิใช่ว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องเท็จ เรื่อง
หลอกลวงหมด” ผู้เขียนขอมองต่างมุมและขออ้างพระไตรปิฎกเช่นกัน แต่ไม่ขออ้างว่า
สิ่งจอมปลอมกับพฤติกรรมลวงโลก
เป็นพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร เพราะพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปก็คงได้ยินมาแล้ว
ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า “ความรู้ของพระพุทธองค์นั้นมีมากมาย ประดุจ
ใบไม้ในป่าใหญ่ แต่พระองค์ท่านนำความรู้มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ เพียงเท่าใบไม้
ในกำมือเดียว”
หรืออาจกล่าวอุปมาได้ว่า “ความรู้ในพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์
ก็เพียงเป็นความรู้เล็กน้อยเท่ากับความรู้ในกำมือเดียวของพระพุทธองค์ของเรา
ที่นำมาสอนเท่านั้น ความรู้ที่มีอยู่จริงที่พระพุทธเจ้าของเรารู้มีอีกมากมาย
มหาศาลมีมากกว่า 84,000 พระธรรมขันธ์ มิใช่มีเพียงแต่ในพระไตรปิฎก
เท่านั้น เพียงแต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ต่อการหลุดพ้นเท่านั้น
พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้นำมาสอน”
ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับวิทยากรผู้บรรยาย ซึ่งเป็นกรรมการ
สมาคมค้นคว้าทางจิตฯว่า สิ่งใดที่ไม่มีบัญญัติในพระไตรปิฎกทุกอย่างเป็นเรื่อง
เท็จ เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหมด
แต่ ผู้เขียนก็ไม่ปฏิเสธว่า สิ่งที่วิทยากรผู้บรรยายกล่าวถึง ในหลาย ๆ ส่วน
เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงจริง เป็นเรื่องจอมปลอมจริง การนำเรื่องหลอกลวงมาตีแผ่บ้าง
ก็เป็นสิ่งที่ดี จะได้ช่วยลดโมหะจริต ความหลงผิดของพุทธศาสนิกชนให้ลดลง ทั้งนี้
ก็อยู่ที่วิจารณญาณของท่านผู้อ่าน จะพิจารณาเองว่า ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ แค่ไหน
เพียงไร เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคล
วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวว่า มี 10 สิ่งจอมปลอมในสังคมไทย คือ
1. พระพุทธเจ้าปลอม
2. พระธรรมปลอม
3. พระอรหันต์ปลอม
4. ผู้วิเศษปลอม 5. พระภิกษุปลอม
6. ร่างทรงปลอม
7. เครื่องรางของขลังปลอม
8. ปรากฏการณ์ลี้ลับปลอม
9. อาจารย์พลังจิตปลอม10. สื่อโฆษณากระบวนการหลอกลวง
วิทยากรบรรยายว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์จอมปลอม หรือผู้ที่หลอกลวง หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็กระทำเพื่อหวังลาภ/สักการะ
- ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีอิทธิฤทธิ์จริง ไม่ต้องการลาภสักการะ แต่ต้องการอำนาจความเป็นใหญ่
- แต่ถ้าผู้ที่หลอกลวง เป็นมาร หรือ เป็นเทพผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็หลอกลวง เพื่อสกัดกั้นและบ่อนทำลายความสำเร็จ ความหลุดพ้นในพระพุทธศาสนา วิทยากรผู้บรรยาย ได้บรรยายต่อไปว่า คำว่า มาร ในอดีตเรียกว่า อธิบดีหรือ เทพผู้ยิ่งใหญ่ในเทวโลก ส่วนเทพผู้มีสัมมาทิฐิ ไม่เคยเป็นใหญ่ในเทวโลก สิ่งที่น่าตกใจคือ ผู้บรรยายกล่าวว่า มาร คือ พระผู้เป็นเจ้า หรือ GOD เพราะทุก GOD จะมีโทสะ และสามารถฆ่าคนได้ ดังนั้น GOD คือมาร (ในส่วนนี้ ผู้เขียนไม่เห็นด้วย หากอุปมาว่า GOD กับซาตานเป็นพี่น้องกัน แต่ผู้หนึ่งมีสัมมาทิฐิ จึงเป็น GOD แต่อีกผู้หนึ่งมีมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นซาตาน น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนกับพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตซึ่งมิใช่องค์เดียวกัน แต่เป็นพระญาติกัน โดยมีทิฏฐิต่างกันนั่นเอง)
1. พระพุทธเจ้าปลอม : วิทยากรกล่าวถึง บรรดาร่างทรงที่อ้างว่าพระพุทธเจ้ามาประทับทรง มีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ มาประทับทรงเป็นประจำ เรื่องนี้ไร้สาระ ถ้าร่างกายมีคุณวิเศษใด ๆ ก็ตาม ล้วนเป็นอำนาจอิทธิฤทธิ์ของมาร มิใช่พระพุทธเจ้าแน่ (ในส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย ผู้ใดอ้างว่าพระพุทธเจ้ามาสถิต มาสอนธรรมะ สรุปได้ว่า เลอะเทอะ เปรอะเปื้อนไปกันใหญ่ ปลอมมาเป็นพระพุทธเจ้าแน่ )
2. พระธรรมปลอม : วิทยากรบรรยายว่า มีการถอดเทปบรรยายธรรมะแล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มขาย คำบรรยาย ของบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลาย วิทยากรกล่าวหาว่า ส่วนใหญ่เป็นพระธรรมปลอม คิดเอง พูดเอง แต่งเอง ผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎกมากมาย เป็นเพียงคำสอนของ ครูบาอาจารย์เท่านั้น มิใช่ ธรรมะที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า (ผู้เขียน เห็นด้วยในคำสอนของพระบางองค์ซึ่งเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น มิใช่เหมารวมทุกองค์ พระสงฆ์ที่นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาบรรยายธรรมะให้ชาวบ้านฟัง ผู้เขียนกลับเห็นว่ามีมากกว่า เพียงแต่อาจใช้ภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายกว่าเท่านั้น ซึ่งเป็นการเลือกให้ถูกกับผู้ฟัง)
3. พระอรหันต์ปลอม : วิทยากรบรรยายว่า มีหลวงปู่ หลวงตามากหน้าหลายตา อวดอ้างว่าบรรลุธรรมชั้นสูง ตัดกิเลสให้ขาดสะบั้นหั่นแหลกแล้ว หรือ บรรลุโลกุตรธรรมแล้ว วิทยากรแนะผู้ฟังว่า ให้สังเกตว่า หลวงปู่ หลวงตาเหล่านั้น มีอาการอย่างใด อย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ ปรากฏหรือไม่“หัวเราะ เมื่อดีใจ / โสมนัส เมื่อชอบใจ/หรือร้องไห้เพราะเสียใจ ผิดหวัง หรือโทมนัส/มีอารมณ์โกรธหรือมีโทสะ / มีความวิตกกังวล/มีความกลัวปัญหา/ กลัวสัตว์ร้าย/กลัวตาย/มีอาการสะดุ้งเมื่อตกใจ/ยังมีการฝันเวลาหลับนอน/ยังมีผรุสวาจา มีการด่าว่าลูกศิษย์ ฯลฯ”วิทยากรผู้บรรยาย ฟันธงว่า บรรดาหลวงปู่ หลวงตาเหล่านี้ ไม่มีใคร
บรรลุโลกุตรธรรม ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์แน่นอน ล้วนแต่เป็นอรหันต์ปลอมทั้งนั้น เนื่องจากพระไตรปิฎก บัญญัติว่า พระอรหันต์จะไม่มีอารมณ์เหล่านี้ (ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นด้วย ถ้ากิเลสอย่างหยาบยังละมิได้ สังโยชน์ 10 อย่างละเอียด จะละได้
อย่างไร ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนอธิบายในสารชมรมฯฉบับก่อน ๆ มาแล้ว)
4. ผู้วิเศษปลอม วิทยากรผู้บรรยาย ยกตัวอย่าง เช่น ผู้เขียนเรื่องมิติพิศวงซึ่งเป็นคนชาวเหนือนอนแล้วฝันมีนิมิตเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตชาติของคนในชาติปัจจุบันหากินเรื่องนี้มานาน ลูกศิษย์เก่าที่ใกล้ชิดปัจจุบันถอยออกห่างหมดแล้ว แต่ปัจจุบันก็มีเหยื่อรายใหม่เข้าไปให้หลอก ขบวนการหลอกลวง ก็ยังดำเนินการต่อไปได้ไม่จบสิ้น
- อีกรายที่วิทยากรอ้างถึง โดยมิได้ระบุชื่อ แต่บรรยายว่าเป็นผู้นุ่งขาวห่มขาวเปิดโรงทานไปทั้งทั่วภาคเหนือ และภาคกลาง และหลอกขายวัตถุมงคลเป็นครั้งคราวต่างเข้าข่ายเป็นผู้วิเศษปลอมเหมือนกัน(2 รายนี้ ผู้เขียนไม่มีข้อมูล – ไม่ขอออกความเห็น แต่ทราบว่าวิทยากรหมายถึงท่านผู้ใด)
5. พระภิกษุปลอม
- วิทยากรผู้บรรยาย อ้างว่าข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2543 (2 ปีเศษมาแล้ว) ประเทศไทยมีพระเณรรวมกันมากกว่า 370,000 รูป เป็นภิกษุ 267,000 รูปเศษ(มหานิกาย 245,000รูป ธรรมยุต 21,000 รูป) เป็นสามเณร 102,000 รูปเศษ(มหานิกาย 90,000รูป ธรรมยุต 12,000 รูป)
- การปลอม มี 2 ประเภท
5.1 เป็นพระเถื่อน มิได้บวชจริง ในจังหวัดชัยภูมิ บางหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านพระปลอมทั้งหมู่บ้าน เย็นถอดจีวร ใส่กางเกง มีเมีย กินอาหารเย็น เป็นต้น
5.2 บวชจริงตามประเพณี แต่มิได้บวชเพื่อละกิเลส มิได้ตั้งใจ บวชเพื่อสืบพระศาสนา แต่บวชเพื่อใช้เป็นแหล่งทำมาหากิน บวชเพื่อตั้งตัวหาเงิน บวชจริงแต่ทำตนเป็นฆราวาส เช่น กินข้าวเย็น เสพเมถุน จัดอยู่ในประเภทพระปลอมเหมือนกันวิทยากรบรรยายต่อไป อย่างน่าตกใจว่า มีเจ้าอาวาสวัดต่างๆ มีหัวหน้าสำนักสงฆ์ต่าง ๆ มากกว่า 32,000 รูป ปาราชิกแล้วมากกว่า 50% (ข้อหาปาราชิก คือ ขาดจากความเป็นพระภิกษุแล้วห้ามบวชในพุทธศาสนาอีกต่อไป) โดยวิทยากรกล่าวหาว่าถ้าพระภิกษุ นำเงินถวายวัด ถวายสงฆ์ ตั้งแต่ 5 มาสก หรือเท่ากับ 1 บาท ไปใช้ในกิจส่วนตัว หรือ ให้ลูกหลานเอาไปใช้ ถือว่า มีความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นปาราชิกทันทีซึ่งวิทยากรเชื่อว่า บรรดาเจ้าอาวาส เจ้าคณะต่าง ๆในปัจจุบัน ปาราชิกแล้วมากกว่า
50% จึงถือได้ว่าบุคคลที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองกลุ่มนี้ เป็น “ภิกษุปลอม” (ผู้เขียนเห็นด้วยเพียงบางส่วน เพราะอุบาสกอุบาสิกาบางคน เจาะจงถวายพระสงฆ์บางรูป ไม่มีเจตนาถวายเงินให้แก่วัด หรือถวายสงฆ์ก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ พิสูจน์ได้กับวัดต่าง ๆ ที่ชาวพุทธแห่แหนไปทำบุญตลอดเวลา แต่พอพระเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงนั้นมรณภาพ ผู้คนจะไม่ไปทำบุญที่วัดนั้น ๆ อีก เช่น วัดดอยแม่ปั๋ง วัดพระธาตุจอมสัก วัดบางนมโค ฯลฯ เป็นต้น เป็นการศรัทธาเฉพาะองค์เท่านั้น ถ้าเขาตั้งใจถวายวัด ถวายสงฆ์ เจ้าอาวาสมรณภาพเขาก็ต้องไปทำบุญ มิใช่เลิกทำบุญ)
6. ร่างทรงปลอม
วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวว่า บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ เคยตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่าในประเทศไทย มีร่างทรงของสำนักต่าง ๆ ประมาณ 100,000 สำนัก และ มีเงินทุนหมุนเวียนที่ประชาชนผู้หลงงมงายจ่ายผ่านร่างทรงปลอมปีละไม่น้อยกว่า 20,000ล้านบาท ร่างทรงของสำนักต่าง ๆ ใน 20 สำนัก จะมีร่างทรงจริงแท้ ไม่เกิน1 สำนัก (ในส่วนนี้ผู้เขียนเห็นด้วยว่าร่างทรงปลอมมีมากกว่าร่างทรงจริงมากมายยิ่งนัก) วิทยากรผู้บรรยายเล่าต่อไปว่า การปลอมนั้นมีหลายกรณี เช่น
6.1 เล่นละครตบตาว่ามีเจ้าเข้า เทพเข้า แท้จริงหลอกลวง บางคนใช้ความสามารถพิเศษฝึกฝน เอาของแหลมทิ่มแทงทะลุแก้ม ทะลุลิ้น แต่แท้จริงไม่มีเจ้าองค์ใดเข้า ไม่มีเทพองค์ใดสถิต (ส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย เป็นการเล่นละครตบตาเกือบ
ทั้งหมด เทพชั้นสูงเบื้องบน มักจะไม่มาสถิตในร่างมนุษย์ขี้เหม็น แต่อาจมีข้อยกเว้นซึ่งผู้เขียนไม่ทราบแน่ชัดว่าองค์ใดจริง องค์ใดเท็จเท่านั้น)
6.2 มีจิตวิญญาณอื่นเข้าแทรกเข้าสิงจริง แต่หาใช่เป็นเทพไม่ กลายเป็นพวกเปรตและอสูรกาย มาเล่นละครตบตาเป็นเทพเบื้องสูง จิตวิญญาณที่ว่าอย่างดีที่สุดก็เป็นเทพชั้นต้น เทพชั้นจาตุมหาราชิกา เช่น รุกขเทวดา ภุมเทวดา ฯลฯ ไม่มีเทพ
ชั้นสูงกว่าจาตุมหาราชิกามาเข้าร่างทรง (ส่วนนี้ ผู้เขียน ไม่ยืนยันว่าไม่มีเทพชั้นสูงกว่า จาตุมหาราชิกา แต่เห็นด้วยว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ท่านที่มามักไม่เกินชั้นจาตุมหาราชิกา โดยไม่ยืนยันเหมือนวิทยากรผู้บรรยายที่ว่า “ไม่มีเลย ที่เกินชั้นจาตุมหาราชิกา” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ วิทยากรผู้บรรยาย หมายความว่า การทรงพระอินทร์ไม่จริง การทรงท้าวมหาพรหมไม่จริง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นร่างทรงปลอมนั่นเอง)
วิทยากรผู้บรรยาย เน้นว่า ภาษาเทพ หรือภาษากูโบ๊ตที่บรรดาร่างทรงพูดคุยกันนั้น “มั่วทั้งหมด” พูดคำเดียวกัน ต่างเวลากัน แปลไม่เหมือนกัน ทำทีพูดคุยกัน แล้วให้ผู้พูดแปลเป็นไทย แล้วอัดเทปไว้ ระยะผ่านไป 1-2 เดือน ลบแปลไทยไปใส่เทปอีกม้วน เอาภาษาเทพนั้นมาแปลใหม่ ผู้รู้ภาษาเทพ จะแปลไม่เหมือนเดิม จึงสรุปว่า “พูดมั่ว” จึงแปลไม่เหมือนกัน (ถ้าพูดคำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน แต่ในเวลาที่ต่างกัน แล้วแปลไม่เหมือนกัน ผู้เขียนก็เห็นด้วยว่า พูดมั่ว เว้นแต่ จะแปลเมื่อไรแปลโดยใครที่พูดภาษาเทพได้ ในคำเดียวกัน ประโยคเดียวกัน แปลได้เหมือนกัน ในทุกสำนักที่พูด ภาษาเทพระดับเดียวกัน จึงจะน่าเชื่อถือ ผู้เขียนยังไม่ขอสรุปว่ามั่วทั้งหมด อาจมีจริงก็ได้ เพียงแต่ผู้เขียนพูดไม่เป็น แม้บางครั้งคันปาก อยากเข้าไปร่วมวงสนทนาภาษาเทพ แต่สติก็เตือนว่า เจ้ารู้หรือว่าเขาพูดอะไรกัน แต่จิตหนึ่งก็บอกว่า ก็มันเพื่อนเก่า ลูกน้องเก่าของข้า ก็อยากไปทักทายพวกมันหน่อย ในที่สุดจิตสำนึกในชาตินี้ก็เตือนว่า อย่าไปร่วมวงกับเขาดีกว่า เพราะเราอยู่ต่างภพกันแล้ว ในที่สุด ก็เลยไม่เคยไปผสมโรง เพียงแต่จิตใต้สำนึกบอกแต่เพียงว่า เป็นการทักทายปราศรัยกันเท่านั้น)
7. เครื่องรางของขลังปลอม
- วิทยากรผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า ผลการสำรวจวิจัยของสถาบันการศึกษาชั้นสูงของประเทศแห่งหนึ่ง พบว่าในปี 2545 มีการจำหน่ายพุทธพานิชเครื่องรางของขลัง นับจำนวนรวมพระเครื่องได้ประมาณ 100 ล้านองค์ ที่ผลิตพระออกมาจำหน่ายเฉพาะวัดดัง ๆ ส่วนใหญ่เป็นพระหลักร้อย คือราคาร้อยบาทขึ้น คิดเป็นเงินหมุนเวียนในปี 2545 ปีเดียว มีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาท ไม่รวมพระที่ผลิตออกมาจากวัดเล็ก ๆ ไม่รวมพระเก่าชุดดั้งเดิม เช่น ชุดเบญจภาคี ชุดงาม ๆ มีมูลค่ามากกว่าชุดละ10 ล้านบาท ส่วนพระสมเด็จโตฯ องค์งาม ๆ องค์เดียว มีมูลค่าถึง 50 ล้านบาท โดยนักการเมืองชื่อดังซื้อไปเก็บไว้
- วิทยากรผู้บรรยาย เล่าต่อไปว่า “นำพระมาซื้อมาขาย” แต่ก็มุสาว่า“นำพระมาให้เช่าหรือเช่าพระ” ปัจจุบันมิได้มีวัตถุประสงค์ให้พระคุ้มครองคน แต่คนต้องจ้างมือปืน มาคุ้มครองพระที่ห้อยคอเพราะกลัวถูกจี้ถูกปล้น เพื่อเอาพระบนคอของ
ผู้มีอิทธิพลคนนั้น ๆ
- วิทยากรเล่าต่อไปว่า พระองค์งามหรือไม่งามที่สมเด็จโตสร้างในสมัยก่อนท่านกลัวญาติโยมไม่เอา ต้องยัดเยียดมอบให้ แล้วบอกให้ญาติโยมเก็บไว้โดยพูดว่า“เก็บไว้กันหมากัด” มีแต่แจกฟรี โดยเมตตากรุณา ไม่มีวัตถุประสงค์ให้นำไปซื้อขาย
หากินกัน โดยวิทยากรเล่าว่า “ของขลัง ห้ามซื้อขาย ของที่มีขาย จะไม่มีความขลัง” ที่ซื้อขายกัน จึงเป็นเครื่องรางของขลังปลอม
- วิทยากรผู้บรรยาย เล่าว่า พระพุทธคุณนั้นมีเพียง 3 ประการ คือ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ ส่วนที่เป็นมงคลในพระพุทธศาสนานั้น มี 38 ประการ ปรากฏในมงคลสูตร (เรื่องนี้ผู้เขียน ได้เขียนไว้แล้ว
ในสารชมรมฯ ฉบับไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2546) ว่าสิ่งที่เป็นมงคล 38 ประการ
มีอะไรบ้าง)
วิทยากรผู้บรรยาย สรุปว่า เครื่องรางของขลัง ที่ชาวพุทธแขวนคอกันนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องงมงาย เป็นการหลงผิดแขวนสิ่งที่เป็น “อัปมงคล” มีแต่คุณไสยที่ประจุเข้าไป มิใช่พุทธคุณจะนำความเสื่อมเสียมาให้แก่ผู้สวม (ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับการ สรุปเช่นนี้ ดูจะเป็นการกล่าวหาดูหมิ่นดูแคลนแก่ผู้สวมใส่พระเครื่องมากเกินไป แม้ว่าในช่วง 10 ปีเศษ ที่ผ่านมา ผู้เขียนก็มิได้สวมสร้อยแขวนพระที่คอก็ตาม แต่ก็ไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้สวมสร้อยแขวนพระ ผู้เขียนเชื่อว่าวัตถุสิ่งของต่างๆ หรือพระเครื่องสามารถประจุพระกรุณาธิคุณ (คุณวิเศษที่ทำให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากได้) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธคุณ มิใช่ว่า พระเครื่องทุกองค์ประจุแต่คุณไสยทุกองค์ ผู้เขียนเห็นว่าวิทยากรกล่าวจาบจ้วงเกินเลยไป และผู้ที่แขวนพระเครื่อง ก็มิใช่ว่าทุกคนเป็นผู้งมงายดั่งวิทยากรผู้บรรยายกล่าวหา)
8. ปรากฏการณ์ลี้ลับปลอม
- วิทยากรผู้บรรยาย ฟันธงว่า บั้งไฟพญานาค ที่ริมฝั่งโขงจังหวัดหนองคาย ที่มีดวงไฟพุ่งขึ้นฟ้าเลยยอดต้นไม้นั้น เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ความจริงเป็นการยิงปืนอาก้าขึ้นฟ้าของทหารลาว เป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่ง ที่หลอกลวงชาวโลก
เพื่อหวังผลในการท่องเที่ยวเท่านั้น วิทยากรกล่าวว่า ชาวหนองคายที่รู้ความจริงว่า เป็นเรื่องโกหกมีไม่น้อยกว่า 1,000 คน แต่คนหนองคายประมาณ 900,000 คน ไม่รู้ความจริง
- วิทยากรเล่าว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นบั้งไฟจริง จะมีความสูงไม่เกินตึก 2 ชั้นเท่านั้น ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นว่า เป็นเรื่องของกลุ่มแก๊สชนิดหนึ่ง ในบ่อปลาต่าง ๆ บางแห่ง ก็มีปรากฏการณ์เช่นว่า
- ดังนั้น วิทยากรผู้บรรยายจึงสรุปว่า “รายการดูบั้งไฟพญานาคที่ริมฝั่งโขง เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง”( ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วยกับบทสรุปของวิทยากร และวิทยากรก็เล่าเองว่า บั้งไฟพญานาคของจริงก็มี แต่ความสูงแตกต่างกัน ผู้เขียนเห็นว่าของจริงมีแน่ แต่ของปลอมที่สร้างขึ้นในบางครั้งก็อาจมีเช่นกัน แต่ไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหมด)
9. อาจารย์พลังจิตปลอม
- วิทยากรผู้บรรยายบอกว่า มีผู้ตั้งตัวเป็นอาจารย์พลังจิต 30-40 สำนักพลังจิต บางสำนักมีชื่อน่าตื่นเต้นเช่น “พลังปรมาณูสายฟ้าผ่า” มีทั้งพลังมาจากประเทศจีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ ส่วนใหญ่มาในรูปการรักษาโรค เป็นเรื่อง การแพทย์นอกระบบเป็นเรื่องการหลอกลวง มีการใช้พลังหินบ้าง พลังโลหะบ้าง พลังแก้วผลึกบ้าง พลังอัญมณีบ้าง พลังกำไลทองแดงบ้าง ฯลฯ ซึ่งวิทยากรผู้บรรยาย อ้างว่า ไปสอบถามกรมทรัพยากรธรณีแล้ว ได้รับคำยืนยันว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ไม่มีพลังอะไรทั้งสิ้นบางสำนักเก็บค่าเรียนค่าสอนแพงมาก หลักสูตรชั้นสูง ต้องเสียค่าเรียนถึงชั้นเรียนละ 70,000 – 80,000 บาท ก็ยังมีคนไทยงมงายไปเรียนกันไม่น้อย(เรื่องนี้ ผู้เขียนยังไม่เห็นด้วย ความจริงมีที่ปลอมปนมา ความจริงมีที่แสวงหาประโยชน์จากการเรียนการสอนในราคาสูง แต่ความจริงที่มีการสอนในเชิงวิทยาศาสตร์ก็มี เช่น หลักสูตรพลังจิตใต้สำนึกของ ดร.สรพล สุขทัศนีย์ หลักสูตรสะกดจิตของ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ก็เป็นเรื่องของการใช้พลังจิตเช่นกัน การเหมาโหลในสิ่งที่วิทยากรผู้บรรยายมิได้ศึกษาฝึกฝน แล้วปฏิเสธว่าสิ่งอื่นผิดหมดเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงหมด ก็ไม่น่าจะถูกต้อง
การที่วิทยากรผู้บรรยายอ้างว่า ผ่านการฝึกจิตในสำนักวิปัสสนากรรมฐานมา 8 สำนักอาจารย์ มีสติมั่นคง มีไม่มีผู้ใดหลอกลวงได้ ไม่มีผู้ใดจะใช้พลังจิตมาบังคับจิตของวิทยากรได้ก็คงไม่มีผู้ใดจะไปก้าวล่วงกล่าวหาวิทยากร แต่การด่วนสรุปว่า สิ่งต่าง ๆที่ตนมิได้เปิดใจไปทดลองศึกษาอย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่หลอกลวงหมด ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก)
10. สื่อโฆษณาและกระบวนการหลอกลวง
- วิทยากรผู้บรรยาย กล่าวถึง ผู้ที่อ้างว่าสื่อจากจิตจักรวาล ได้ตีพิมพ์หนังสือขายหลายซีรีส์หลายฉบับ โฆษณาหลอกลวงว่าจะมีหายนะ จะมีภัยพิบัติร้ายแรงจะเกิดขึ้นวันนั้น วันนี้ จะมีคนตายเป็นร้อยล้าน พันล้านคน หลังจากขายหนังสือหมด
ก็ไม่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ว่าเกิดขึ้น ก็ยังมีคนงมงายเป็นสานุศิษย์ไม่ใช่น้อย เป็นกระบวนการหลอกลวงทั้งนั้น
- สื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ ก็ไม่กลั่นกรองบทความข้อเขียน ขอให้มีเรื่องมาลงหรือขายให้ได้ค่าโฆษณา ก็จะตีพิมพ์เรื่องต่าง ๆ ที่มีผู้ว่าจ้างให้ลงโฆษณา ทำการโฆษณาให้ ซึ่งก็เป็นตัวกระตุ้นให้คนไทยงมงายในสิ่งเหลวไหลหลอกลวง(ในส่วนนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย ผู้อ่านผู้ฟัง ต้องใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น อย่าด่วนเชื่อทันที ยึดหลักกาลามสูตรไว้ก็จะดี ไตร่ตรอง และพินิจพิจารณาให้มากเข้าไว้ประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่สอนเราได้ว่า จริงแท้ทุกอย่าง ล้วนเป็นสมมุติทั้งนั้น อย่างมงายกับสิ่งที่ได้อ่าน สิ่งที่ได้ยินมา ซึ่งผู้เขียน ก็ได้เขียนบทความฉบับไตรมาสแรกของปี 46 ซึ่งได้พิมพ์แจกจ่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 เป็นต้นมา เกี่ยวกับเรื่องหายนะ หรือภัยอันร้ายแรง โดยเขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2545 ว่าเหตุการณ์ 56 วัน 7 ราตรีที่จะมีต่อมนุษย์ จะเกิดยุคพลังใหม่ ตั้งแต่ 11 มกราคม 2546 เป็นต้นไป โดยจะไม่มีการเลื่อนเวลามหันตภัยอีกแล้วนั้น มันยังไม่ถึงเวลา มิใช่ดั่งที่ผู้อ้างว่าได้รับสื่อจากพระบิดาอันเป็นองค์จิตจักรวาลสื่อมาแน่ เพียงแต่ผู้เขียนยังปริวิตกเหตุการณ์ในปี 2551 หรือเร็วกว่าคือ ที่จะเกิดในปีหน้า 2547
แต่ผู้เขียนก็พยายามภาวนามิให้เกิดประสงค์ให้เลื่อน และให้ลดความรุนแรงของมหันตภัยดังกล่าว ต้องการให้สิ่งที่
ผู้เขียนที่ได้สื่อออกไป เป็นการสื่อความผิด ไม่ต้องการให้ถูก เพราะถ้าสิ่งที่สื่อไปนั้นถูกต้อง ความฉิบหายที่จะเกิดแก่มวลมนุษยชาตินั้น มันแสนสาหัส เรียกกันว่า ตั้งแต่ท่านแรกเกิดมา ไม่เคยพบมหันตภัยที่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ในปี 2551 แน่นอน และไม่ต้องกลัว ผู้เขียนคงยึดมั่นหลักการเดิมของผู้เขียนว่า ผู้เขียนไม่มีวัตถุมงคลใด ๆ มาบอกขาย ไม่มีบทความข้อเขียนใดมาบอกขาย ไม่ประสงค์จะได้ทรัพย์สินของผู้ใดมาบำเรอความสุขส่วนตน และถือหลักการเดิมต่อไป คือ ทุกบทความ
ข้อเขียน ไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ สารชมรมฯ จัดทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้ฟรี หากได้วัตถุมงคลใดที่จะช่วยป้องกันภัยพิบัติได้ ผู้เขียนจะทำการ “แจกจ่ายฟรี”เพียงแต่ ขอร้องให้ท่านผู้อ่าน ระลึกถึงการกระทำใด ๆ จะต้อง “ละเว้นการทำความชั่ว ความไม่ดีทั้งปวง หาหนทางทำแต่สิ่งที่ดี ๆ ทำแต่บุญกุศล สร้างอริยทรัพย์ด้วยการฝึกอบรมทางจิต ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบ้าง เพราะเป็นการทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน อิ่มเอิบด้วยกระแสพุทธธรรม”
ทุกคืนก่อนนอน หมั่นหาโอกาสทบทวนคุณงามความดีของตนเอง คิดไม่ออก คิดถึงคุณงามความดีขององค์พระพุทธเจ้า ที่มีทั้งพระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณคิดอะไรไม่ออก ภาวนาเพียงแต่ “ พุท-โธ” ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ ก็ยังดีกว่าหลับไปโดยขาดสติ ขอย้ำว่า “ อาสันนกรรม” กรรมสุดท้ายที่ระลึกได้ก่อนจิตวิญญาณออกจากร่าง (ก่อนตาย) มีผลสำคัญต่อการไปปฏิสนธิ หรือ ไปอุบัติบังเกิด ในสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิมาก หากไม่ฝึกฝนก่อนตายจริง โอกาสปฏิบัติได้จริงขณะจะตาย เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิด บอกแล้วเตือนแล้ว ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เชื่อแต่ไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นจิตวิญญาณของท่านเอง หากท่านต้องการนำพาตัวท่าน ไปสู่เบื้องสูงในสุคติภูมิ ท่านจะต้องฝึกฝนให้เกิด
ความชำนิชำนาญ จึงจะสัมฤทธิผลได้ ไม่เช่นนั้นตัวใครตัวมันครับ
สำหรับพฤติกรรม 16 อย่างที่วิทยากรผู้บรรยายกล่าวถึง ผู้ที่เป็นบุคคลลวงโลกหรือบุคคลจอมปลอม ก็ได้แก่
1. ตั้งสมญาตนเอง หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ เช่น เป็นดาบส ฤๅษี นักพรตหรืออายุน้อย แต่ให้ลูกศิษย์เรียกว่าหลวงปู่ ฯลฯ วิทยากรกล่าวหาว่า บุคคลเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นคนลวงโลก (ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการสรุปของวิทยากร คำว่าหลวงปู่ที่
เรียกขานพระบางองค์ที่อายุน้อย แต่มีภูมิธรรมสูง ผู้เขียนกลับเห็นว่า น่าจะถูกต้องตามภูมิธรรม คนที่เกิดมา 70 – 80 ปี แต่หาภูมิธรรมมิได้ หรือเป็นพระบวชใหม่ ผู้เขียนกลับเห็นว่า ไม่น่าจะเรียกหลวงปู่ เพียงการเห็นว่ามีร่างกายแก่หรือมีอายุมากอย่างเดียว)
2. ปกปิดอดีต
- วิทยากรเล่าว่า บางคนเคยติดคุกมาก่อน บางคนเคยอบรมมาจากลัทธิศาสนาอื่น เพื่อมาบ่อนทำลายความเชื่อความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจึงมักมีประวัติคลุมเครือ ไม่ชัดแจ้ง คนพวกนี้ถือว่าเป็นพวกบุคคลลวงโลก
3. แต่งนิยาย
- วิทยากรบรรยายว่าบุคคลจอมปลอมลวงโลกจะมีการจัดฉากบังหน้า จัดคิวลูกศิษย์ มีการแต่งตัวให้แปลกจากความเป็นอยู่ประจำวัน
4. เล่นละคร
- มีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าว่าใครจะมา จะเอาอะไรมาให้ แล้วผู้นั้นก็มาปรากฏตัวในงาน และนำสิ่งของมาให้จริง ตามที่ร่างทรงหรือพระผู้นั้น กล่าวเอ่ยขึ้น เพื่ออวดคุณวิเศษว่ามี “อนาคตังสญาณ” ญาณหยั่งรู้อนาคต แท้จริงเป็นการเล่นละครตบตาหลอกลวงประชาชนผู้มาเคารพกราบไหว้เท่านั้น
5. เปิดสำนักใหม่
- เช่น สร้างวัดใหม่ สำนักใหม่ ทั้ง ๆ ที่วัดเก่า สำนักเก่าก็มีอยู่ แต่เพื่อความเด่นดัง และหารายได้เข้ากระเป๋าได้มากและง่ายกว่า จึงใช้วิธีการเช่นว่า
6. ใช้หน้าม้า
- มีการแบ่งผลประโยชน์ให้ 20%-30% ของรายได้ที่สามารถนำคนมาร่วมบริจาค มาร่วมพิธีได้
7. เล่นกล
- เป็นการฝึกทักษะพิเศษ ให้ร่างกายมีความอดทนต่อสิ่งแหลมคมหรือมีความสามารถเหนือบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่จริงมิใช่มีคุณวิเศษ แต่เป็นเรื่องความสามารถพิเศษที่เกิดจากการฝึกฝนจนชำนาญ
8. ใช้อุปกรณ์ไฮเทคหลอกลวงประชาชน
- เช่น ใช้แสงเลเซอร์ฉายไปบนท้องฟ้า โดยมีการใช้เครื่องบินเล็ก ๆ ไปโปรยละอองน้ำทิ้งไว้ในอากาศก่อน ซึ่งมีการทำกันในวัดใหญ่ แถวคลองหนึ่ง ปทุมธานี มีคนเข้าวัดนับเป็นแสนคน วิทยากรกล่าวหาว่าเป็นพฤติกรรมลวงโลกอีกอย่างหนึ่ง
9. สะกดจิต
- เป็นการสะกดจิตหมู่ ผู้เข้าร่วมพิธีกรรม
10. คุณไสย
- วิทยากรแนะนำให้ระวังเรื่องน้ำมนต์ อาหาร สิ่งของจากสำนักต่าง ๆ จะเป็นการนำคุณไสยเข้าบ้าน จะมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นตามมาได้ไม่จบไม่สิ้น
11. มอมยา
- วิทยากรแฉว่าบางสำนักมีการให้ยากล่อมประสาท ผ่านทางน้ำดื่ม ที่นำมาเลี้ยงญาติโยม หรือ สานุศิษย์เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน และมีอาการเคลิบเคลิ้มเชื่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง
12. สร้างภาพ
- วิทยากรกล่าวหาว่าบุคคลลวงโลกบางคนว่าพยายามสร้างภาพตัวเองให้น่านับถือโดยกินอาหารมังสวิรัต เปิดโรงทาน โรงเจ เพื่อให้ผู้คนมีศรัทธานับถือ
13. เกณฑ์คนมาร่วมงาน วิทยากรบรรยายว่า ปกติมีชาวบ้านรับจ้างเป็นม็อบ รับจ้างเป็นสานุศิษย์ และทำตามข้อแนะนำของผู้ว่าจ้าง ดังนั้น คนที่มาร่วมงานบางแห่ง มิใช่ผู้เลื่อมใสโดยแท้จริง แต่เป็นคนที่รับเงินมาเป็นนกต่อ แบบบอกต่อ ๆ กัน
มาว่า เจ้าพ่อเจ้าแม่ หรือเทพองค์นี้ ศักดิ์สิทธิ์มาก เพื่อลวงให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธามากขึ้น เป็นต้น
14. การดูดทรัพย์
- บางสำนัก บางวัด มีการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงว่าต้องทำบุญด้วยเงินมาก ๆ จึงจะให้บุญมาก ทำแล้วเงินทองทั้งหมดจะไปอยู่บนสวรรค์แต่เพิ่มค่าอีก 100 เท่าของทรัพย์สินที่บริจาค หากบริจาค 1 ล้านบาท ก็จะมีทรัพย์รออยู่100 ล้านบาท หรือบอกขายหนังสือซีรีส์ต่าง ๆ ขายบุญ ขายวัตถุมงคล ขายสินค้าต่าง ๆซึ่งวิทยากรบอกว่า เป็นการหลอกลวงดูดทรัพย์ประชาชนผู้งมงาย
15. บำเรอกาม
- ร่างทรง หรือพระปลอม มีเมียหลายคน เอาสานุศิษย์มาเป็นเมีย แต่ก็มีทั้งสาวรุ่น สาวแก่แม่ม่าย เปลี่ยนหน้ากันมาบำเรอกามให้แก่มนุษย์ลวงโลก
16. สร้างเครือข่ายพันธมิตร - ใช้ฐานอาจารย์ ศจ. ในมหาวิทยาลัยใช้ดอกเตอร์ ใช้หมอ มาเป็นเครือข่ายสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมว่า ระดับมันสมองของชาติ ยังเชื่อถือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ หรือ ศจ. ในมหาวิทยาลัย ก็จะต้องเชื่อเพราะเสมือนว่ามีคนระดับมันสมองกลั่นกรองสำนักนั้น สำนักนี้ให้แล้ว
17. พฤติกรรมทำลายความน่าเชื่อถือ ของพระไตรปิฏกเถรวาท อรรถกถา หรือ พระอรรถกถาจารย์ ซึ่งวิทยากรกล่าวหาว่าเป็นคนลวงโลกโดยแท้พฤติกรรม 17 ประการ ที่วิทยากรอธิบายแยกแยะมาให้ทราบ เห็นควรรับทราบ และใช้วิจารณญาณโดยรอบคอบ หากต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าประเภทใด ๆ ก็ตามใน 17 ประเภท ที่วิทยากรเอ่ยถึง ซึ่งผู้เขียนคิดว่าคงจะมิใช่เลวร้ายไปทั้งหมด
เหตุผลอาจไม่เป็นเช่นดังวิทยากรกล่าวหาก็ได้ เหตุที่แท้จริงในบางเรื่อง บางกรณี อาจเป็นบางเรื่องของการมีจิตเมตตา อยากให้คนอื่นมีความสุข และมีจิตกรุณา คือ อยากให้คนมีความทุกข์ พ้นจากความทุกข์ จึงบอกต่อ ๆ ให้ได้รับทราบ
มิได้เป็นขบวนการลวงโลกตามที่ถูกวิทยากรกล่าวหาก็ได้ มิได้มีการให้อามิสสินจ้างรางวัลก็ได้ ไม่ควรมองโลกผู้อื่นในแง่ร้าย จนขาดความไว้วางใจในคนอื่น ตัววิทยากรเองก็จะต้องระวังจะเผลอตัวขาดความไว้วางใจในตนเอง แทนที่จะนำสมาชิกชมรมฯ ไปโรงพยาบาลประสาท ตัววิทยากรอาจถูกคนอื่นนำไปโรงพยาบาลประสาทแทนก็ได้ ใครจะไปรู้อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ส่วนที่วิทยากรบรรยายมา ผู้เขียนก็เห็นว่า ก็มีประโยชน์ สังคมจะได้รับรู้ รับทราบว่า มีเรื่องจอมปลอม เรื่องหลอกลวงที่คาดคิดมิถึงหลายเรื่อง เพราะส่วนใหญ่พวกเรามิได้เริ่มมองคนอื่นโดยการตั้งข้อระแวง มิได้มีเจตนาไปจับผิดผู้อื่น จนบางครั้งกลายเป็นหลงเชื่อผู้อื่น โดยไม่รู้ตัวได้
- วิทยากรผู้บรรยาย อ่านบทความนี้ของผู้เขียน ก็คงจะโกรธผู้เขียนไม่มากก็น้อย ซึ่งก็เป็นสิทธิเสรีภาพในการคิด การพูด และการเขียนของคนในสังคมยุคประชาธิปไตย เบ่งบาน ย่อมจะบังคับให้คนอื่นต้องเชื่อในสิ่งที่ตนพูด ตนเขียน ย่อมมิได้
เพราะแต่ละคนก็มีสมอง และคิดเป็นเช่นเดียวกับวิทยากรผู้บรรยาย
ผู้เขียนก็เขียนได้ตามความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน เห็นด้วยก็ว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็ว่าไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องสองคนยลตามช่อง วันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน
มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล