เจ้าแม่กวนอิม...จากประสบการณ์ผู้ทรงอภิญญาญาณ
จากที่ผมศึกษาพระพุทธศาสนามาแต่ยังเล็ก อ่านไปอ่านมาบางคราวก็เกิดวิจิกิจฉาว่าตกลงพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้าทั้งปวงนั้น ท่านสร้างเราขึ้นมาในโลกกลม ๆ ใบนี้...
หรือเราสร้างท่านกันแน่ ?
หรือเราสร้างท่านกันแน่ ?
คิดไปคิดมาพอให้ปวดหัวเล่นก็เลิกคิด ครั้นโตพอรู้ความก็เริ่มได้ยินครูบาอาจารย์บ้าง ฆราวาสผู้ทรงธรรมบ้าง กล่าวถึงเทพองค์นั้นองค์นี้ให้หูผึ่ง และที่ผึ่งจนกาง...เห็นจะไม่พ้น...เจ้าแม่กวนอิม
สมัยหนึ่งได้อ่านบันทึกและคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกันดีกับท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ ที่ต้องคุยเพราะนายพลท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ฝึกฝนสมาธิจิตจนสงบนิ่งควรแก่การงาน ควรแก่การพบเห็นผู้อยู่ต่างภพภูมิได้อย่างน่าทึ่ง และวาระหนึ่งท่านก็ได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิม
ท่านนายพลเล่าว่าท่านมักทำสมาธิเมื่อมีเวลาว่างเสมอ โดยเฉพาะก่อนนอนจะนั่งเป็นชั่วโมง ๆ ทุกวัน วันหนึ่งขณะจิตสงบได้พบหญิงสาวนางหนึ่งเหาะลอยมาในอากาศแวดล้อมด้วยหมู่เมฆสวยงามนัก สตรีท่านนั้นแต่งตัวด้วยชุดจีนพื้นขาวมีลายดอกสีแดงปักห่าง ๆ ใบหน้ายิ้มละมัยเปี่ยมด้วยเมตตา
ครั้นเอ่ยวาจาน้ำเสียงก็ไพเราะดุจระฆังเงินก้องกังวานทั่ว ท่านแนะนำองค์ว่าท่านคือ เจ้าแม่กวนอิม ที่มานี้เพราะสวรรค์เห็นในคุณความดีที่นายพลสมานได้กระทำมาตลอดชีวิต และยังเข้าพระกัมมัฏฐานภาวนาโดยสม่ำเสมอ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกจึงมีบัญชาให้องค์อวโลกิเตศวรนำคำพรมาให้ จากนั้นท่านก็ให้พรเป็นภาษาจีนแต่ไม่ยาวเท่าใด และท่านก็กล่าวลา
เมื่อออกจากสมาธิท่านนายพลก็ไม่แน่ใจว่าตนเกิดนิวรณ์ไปเองหรือเปล่า ด้วยท่านนั้นนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่สุด รู้จักแต่พระไทย ไม่เคยสนใจในเรื่องเจ้าแม่กวนอิมหรือเจ้าจีนที่ไหนเลย ครั้นคิดไม่ตกท่านก็วางเฉยต่อเหตุการณ์
ไม่นานเท่าใดนัก ขณะท่านทำสมาธิในอีกวาระหนึ่งองค์กวนอิมก็มาพบอีกครั้ง คราวนี้ทรงชุดขาวปักลายคล้ายปล้องไผ่และใบไผ่เป็นสีทอง ชายผ้าทั้งแขนเสื้อและคอเสื้อขลิบด้วยด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับงามตา ทั้งการแต่งองค์และวงพักตร์ในครั้งนี้งดงามกว่าหนก่อนมากนัก ท่านนายพลถึงแก่ตะลึงด้วยไม่นึกว่าจะพบท่านอีกเป็นคำรบสอง
ท่านปรารภว่า เราคือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าท่านมิได้ฝันเพ้อหรือเกิดนิวรณ์ในจิตแต่อย่างใด หนก่อนเรานำพรจากสวรรค์มาให้ตามโองการ เมื่อท่านไม่แน่ใจเราจึงต้องมาอีกครั้ง และครั้งนี้เราจะประทานอักษรให้แก่ท่านด้วย
แล้วองค์กวนอิมก็คลี่ม้วนผ้าแดงปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนอยู่ภายในให้ดู พร้อมกับอ่านให้ฟังอย่างชัดเจน
“กวนอิมไต้ซือ ซี่สื่อ ฮกลกหงีเทียนสื่อ”
อ่านแล้วก็ทำกิริยายื่นม้วนผ้านั้นให้ ท่านนายพลรับมาอย่างซาบซึ้งในกรุณา เจ้าแม่ยังสั่งอีกว่า ท่านจะจำได้ขึ้นใจทั้งคำอ่านและอักษร จากนี้จงหาผู้รู้หนังสือจีนให้เขาเขียนลงกระดาษแดงด้วยอักษรสีทองแล้วใส่กรอบบูชาไว้ จะบังเกิดโชคลาภ ปราศจากภัยอันตรายแก่ผู้บูชาด้วยอำนาจแห่งเรา และยังสามารถสวดบริกรรมโองการสวรรค์นี้ได้อยู่เรื่อย ๆ จะได้รับพรอันประเสริฐจากเทวโลก ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากเราพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วท่านก็จากไป
เมื่อท่านนายพลออกจากสมาธิ น่าประหลาดว่าท่านสามารถจำลักษณะตัวอักษรและการออกเสียงได้หมดทั้งที่ท่านพลโทสมานไม่รู้หนังสือจีนเลย และท่านก็ไปจ้างซินแสแถวเยาวราชให้เขียนหนังสือนี้ใส่กรอบบูชาไว้เพื่อระลึกถึงคุณแห่งพระแม่กวนอิม และยังเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ทำไว้บูชาที่บ้าน ได้สวดตามเพื่อความเป็นสิริมงคลเสมอ
นี่เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ผมเชื่อถือในท่านมาก่อนหน้า เมื่อผู้ที่ผมเชื่อใจยังยอมรับถึงความมีอยู่จริงของเจ้าแม่กวนอิม ผมก็เริ่มคล้อยตาม...
วันหนึ่งขณะที่พระเดชพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทสุวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี กำลังเจริญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถ ท่านนิมิตเห็นคนจีนแต่งชุดอย่างชาวจีนโบราณเข้ามาแสดงคารวะท่านแปดคน
ทั้งแปดแนะนำตัวเองว่าเป็น แปดเซียน ในลัทธิเต๋าที่คนทั่วไปนับถือบูชา ที่มาวันนี้เพราะรับบัญชาจากองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ให้มานิมนต์พระคุณเจ้าเป็นสาวกในพระองค์ท่าน ขณะที่พูดก็ยื่นชุดจีวรอย่างพระจีนถวายแด่หลวงปู่โต๊ะ ท่านแปลกใจนักแต่ก็มิได้สนใจไม่ว่าทั้งแปดจะอ้อนวอนอย่างไรท่านก็เพิกเฉยเสีย นานพอสมควรทั้งแปดเซียนก็ลากลับไป
ถึงตรงนี้ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เขามีตัวตนจริง ๆ นะ ที่วาดไว้ตามถ้วยโถเครื่องเคลือบต่าง ๆ นี่เขามีจริง จากวันนั้น ปรากฏว่าแปดเซียนมาอ้อนวอนหลวงปู่ทุกวันขอให้รับชุดครองอย่างพระจีนและลงใจเป็นสาวกในเจ้าแม่กวนอิม โป๊ยเซียนมาตลอดเจ็ดวัน หลวงปู่ก็ปฏิเสธไปทั้งเจ็ดวันเช่นกัน
แต่วันนี้มาแปลก เซียนทั้งแปดเข้ามาแบบไม่เร่งรัดอะไรบอกเพียงพระคุณเจ้าตัดสินใจหรือยัง หลวงปู่โต๊ะก็ตอบปฏิเสธอีก แปดเซียนจึงว่า วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วย ประทับรออยู่นอกโบสถ์ พอเซียนอ้างดังนี้หลวงปู่ก็กำหนดจิตเฉยเสียไม่สนใจ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเซียนเรียกให้ลืมตา เมื่อท่านมองดูก็เห็นสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวสะอาด ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ทั้งยังมีรัศมีที่โอภาสสว่างไสวไปตลอดทั้งอุโบสถ
สตรีที่บอกว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมได้พูดจาชักจูงหลวงปู่ด้วยตัวเองตลอดเวลา ท่านเล่าว่าเสียงเจ้าแม่นั้นไพเราะนัก น้ำเสียงก็อ่อนโยน จิตท่านน่ะปฏิเสธแต่ร่างกายไม่รู้เป็นอย่างไรไปเผลอรับชุดพระจีนซึ่งเป็นกางเกงมาสวมได้ถึงเข่าก็ระลึกได้ จึงรีบถอดโยนทิ้งไป
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเซียนเรียกให้ลืมตา เมื่อท่านมองดูก็เห็นสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวสะอาด ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ทั้งยังมีรัศมีที่โอภาสสว่างไสวไปตลอดทั้งอุโบสถ
สตรีที่บอกว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมได้พูดจาชักจูงหลวงปู่ด้วยตัวเองตลอดเวลา ท่านเล่าว่าเสียงเจ้าแม่นั้นไพเราะนัก น้ำเสียงก็อ่อนโยน จิตท่านน่ะปฏิเสธแต่ร่างกายไม่รู้เป็นอย่างไรไปเผลอรับชุดพระจีนซึ่งเป็นกางเกงมาสวมได้ถึงเข่าก็ระลึกได้ จึงรีบถอดโยนทิ้งไป
เจ้าแม่ก็รวบรัดเลยว่าบัดนี้หลวงปู่โต๊ะเป็นสาวกในองค์ท่านแล้ว ต่อไปนี้เมื่อถึงเทศกาลกินเจหลวงปู่ต้องฉันเจทุกคราวไปตลอดเวลา 10 วัน ว่าแล้วก็ลาหายไปพร้อมแปดเซียน
หลวงปู่ปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่แล้ว แต่การกินเจเป็นเรื่องละเอียดมาก พระผู้บิณฑบาตเลี้ยงชีพจะไปสั่งรายการอาหารญาติโยมอย่างไรได้ ท่านก็ทำเฉย ๆ พอถึงเทศกาลเจซึ่งท่านไม่ฉัน ปรากฏว่าท่านล้มป่วยหนักไม่น่าเชื่อ ครั้นพ้นเทศกาลสิบวันท่านก็หายป่วย หลวงปู่ทดลองอย่างนี้อยู่ราว 3 ปี ท่านก็แน่ใจได้ว่าเป็นด้วยอำนาจองค์กวนอิม ท่านต้องมีบุพกรรมเกี่ยวพันกันมาก่อนแน่นอน
ปีต่อมาท่านจึงเริ่มฉันเจและท่านก็ไม่ป่วยจริง ๆ ส่วนชุดพระผู้ใหญ่ฝ่ายจีนนิกาย ท่านเปรยกับเจ้าแม่ว่าท่านไม่รู้จะหาที่ไหน เจ้าแม่ก็ว่าไม่ต้องกังวลท่านจะให้ศิษย์นำมาถวาย ไม่นานก็มีชายจีนคนหนึ่งเอาชุดพระจีนมาถวายหลวงปู่โดยบอกว่า ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมสั่งให้เอาจีวรมาถวายหลวงปู่วัดประดู่ฉิมพลี
หลวงปู่โต๊ะจึงห่มแต่จีวรพระจีนที่เป็นตาราง ๆ ทับลงบนจีวรอย่างพระไทยซึ่งท่านครองไว้เรียบร้อยแล้วภายในทุกวัน และจะห่มเมื่อใกล้เวลาจำวัดเท่านั้นพอรุ่งก็ถอดออก ท่านว่าไม่อยากให้ใครเห็นจะไม่ดี
เหตุนี้ชาวจีนจึง ขึ้น หลวงปู่โต๊ะมากเล่าลือกันไปว่าหลวงปู่โต๊ะสำเร็จเป็น เซียน แล้ว ที่จริงผมอยากบอกว่าหลวงปู่น่ะ เลยเซียน ไปแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าเชื่อหลวงปู่ ก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมมีจริง แม้จะผิดหลักกาลามสูตรอยู่บ้าง วาระนี้ผมก็ยอม ด้วยผมเชื่อในหลวงปู่โต๊ะสุดหัวใจ
เคยมีศิษย์คนหนึ่งนำรูปบูชาของเจ้าแม่กวนอิมไปถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิต ท่านเอาดินสอพองมาขีดเขียนอักขระบนองค์เจ้าแม่อยู่นาน และแม้เป็นแค่ดินสอพองแต่กลับทะลุลงจับในเนื้อพระได้จนถึงวันนี้แม้ผ่านมานานนับสิบ ๆ ปีน่าอัศจรรย์
ต่อข้อถามถึงการมีอยู่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่ดู่ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่อธิบายอะไร หากเปรยขึ้นเพียงว่า “อ้อ ! เจ๊น่ะเหรอ”
เจ๊ แปลว่า พี่สาว หลวงปู่ดู่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้ปรารถนาเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่าผู้ข้องอยู่ในความรู้ ผู้ประสงค์ความรู้แจ้ง คือการตรัสรู้นั่นเอง เมื่อทั้งสองท่านประสงค์ในเป้าหมายเดียวกัน การที่หลวงปู่เรียกพระแม่กวนอิมเชิงหยอกว่า เจ๊ อาจหมายได้ว่าองค์กวนอิมสร้างบารมีอยู่ก่อนท่าน เป็นผู้ปรารถนาจุดหมายเดียวกันหากลงมือบำเพ็ญก่อนหลังเท่านั้น ท่านเลยยกพระแม่กวนอิมเป็นพี่สาวในทางธรรม หลักอาวุโส-ภันเต
ราวปี พ.ศ.2539 แม่ชีซูง้อ แซ่เอ็ง ศิษย์ในพระเดชพระคุณพระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้อาราธนาหลวงพ่อให้เดินทางไปโปรดโยมบิดา-มารดาและญาติมิตร ณ ประเทศสิงคโปร์ ทัวร์นั้นมีศิษย์ติดตามไปหลายคน ตอนหนึ่งของการเดินทางแม่ชีซูง้อได้พาหลวงพ่อจรัญไปชมรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 3 องค์ที่ชาวสิงคโปร์นับถือมาก ขณะเดินชมสถานที่ซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงามนั้น จู่ ๆ หลวงพ่อจรัญได้สั่งศิษย์ผู้ชายซึ่งถือย่ามท่านอยู่ให้เอาซองปัจจัยในย่ามของท่านทั้งหมดใส่ลงตู้รับบริจาคที่ตั้งอยู่ใกล้กับองค์เจ้าแม่กวนอิม และสั่งให้ศิษย์ที่ไปด้วยทั้งหมดลงมือทำบุญทันที กำชับอีกว่าทำบุญแล้วจงอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาอย่างสูงสุดในชีวิตเดี๋ยวนี้
ทุกคนแม้งงกับเหตุการณ์แต่เชื่อหลวงพ่อนี่แน่นอนที่สุด จึงรีบควักปัจจัยหย่อนลงตู้บริจาคเป็นโกลาหล เมื่อทำบุญเสร็จและกลับมายังบ้านพัก ท่านเมตตาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายว่า ขณะที่ท่านยืนพิจารณารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่นั้น ได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่งลอยออกมาจากองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างชาวจีนซึ่งสวยงามมาก แสดงคารวะต่อท่านและยิ้มแย้มยินดี
หลวงพ่อกำหนด เห็นหนอ ก็ทราบได้ทันทีว่าเทพธิดาองค์นี้เป็นเทพเจ้าระดับสูง มีบุญญาภินิหารมากนัก บำเพ็ญบารมีมาทาง สัจจะวาจา ทำให้เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ เมื่อให้พรใครย่อมเป็นไปตามนั้นทุกประการ ที่มารักษารูปจำลองเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เพราะรับบัญชาจากพระแม่กวนอิมโดยตรงเพื่อโปรดมนุษย์
และขณะนั้นเทพเจ้าองค์นี้ก็ปรารถนาจะอำนวยพรแก่หลวงพ่อและชาวคณะ ท่านจึงรีบทำทานบารมีและสั่งคณะศิษย์ให้ทำตาม เพื่อสร้าง กรรมพัวพัน อันจะเปิดโอกาสให้พรที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจริงขึ้นมา เป็นมงคลแก่คณะศิษย์ที่ติดตามไปตลอดชีวิต สุดยอดไหมล่ะกับหลวงพ่อวัดอัมพวัน ?
เรื่องเหล่านี้คือความจริงที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ นับว่าเป็นสิริแก่ตนอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีญาณรู้เห็นด้วยตน ชั้นชั่วแต่ได้ผู้ทรงญาณยืนยัน ผมก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ผมหายสงสัยได้ในเรื่องเจ้าแม่กวนอิม ไม่เพียงเพิ่มพูนศรัทธาในท่าน ยังเลื่อมใสไปถึงท่านผู้เมตตาแจ้งข่าวเหล่านั้นด้วย หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม และ ท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ
บทความดีๆจาก [url=http://www.udon108.com/board/index.php?topic=18196.25;wap2]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น