วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ไม่เท่ากัน


บารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ไม่เท่ากัน ให้ดูที่กายทิพย์ ดังนี้ฯ
บารมีของพระโพธิสัตว์ต่างกัน ส่งผลให้เมื่อตรัสรู้แล้วจะมีลักษณะต่างกัน คือ
๑) กายอวโลกิเตศวร มีบารมี ๔ อสงไขย เช่น พระอาภาโพธิสัตว์ ที่จุติลงมาเพื่อตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้าสมณโคดม" ก็มีกายทิพย์แบบอวโลกิเตศวร
๒) กายมัญชุศรีโพธิสัตว์ มีบารมี ๔ - ๘ อสงไขย แตกต่างกันไปในแต่ละองค์เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว ยังมิได้กายพุทธะ แต่จะเหลือดวงจิตสว่างไสวแทน
๓) กายกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีบารมี ๘ - ๑๖ อสงไขย แตกต่างกันไปในแต่ละองค์ เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะได้กายทิพย์เป็นพุทธะ แต่มโนธาตุจะนิพพานไป
๔) กายเมตตรัยโพธิสัตว์ มีบารมีเต็ม ๑๖ อสงไขยไม่บกพร่อง เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะมีกายทิพย์พุทธะ และมโนธาตุแห่งพุทธะ (หัวใจพุทธะ) ก็ยังไม่นิพพาน
๕) กายสมันตภัทรโพธิสัตว์ มีบารมีล้นเกินกว่า ๑๖ อสงไขย เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะมีกายทิพย์และมโนธาตุเป็นพุทธะครบองค์ โดยใช้ "จิตเดียวถึงพุทธะ"
อนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์ฯ เมื่อแบ่งภาคแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีบารมีเท่ากับองค์ต้นบารมี เช่น ถ้าพระศรีอาริยเมตตรัยแบ่งภาคลงมา ภาคแบ่งของท่าน จะมีบารมีน้อยกว่าองค์ต้นบารมี (จิตเดิมก่อนแบ่ง) เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว อาจสำเร็จเป็น
โพธิสัตว์ในกายทิพย์อื่น เช่น กายมัญชุศรี ก็ได้ อันนี้ ต้องเข้าใจให้แจ้งชัด เพื่อให้ทราบว่าพระศรีอาริยเมตตรัยมีกายทิพย์เหมือนโพธิสัตว์องค์อื่นก็ได้ อย่างไร

การตรัสรู้พุทธะ ๕ แบบ ส่งผลให้ได้จิตวิญญาณพุทธะที่แตกต่างกัน ดังนี้
๑) แบบ "พระเจ้า" หรือแบบที่กายทิพย์นิพพานไปก่อน เหลือแต่มโนธาตุ (ธาตุรู้) สว่างไสวอยู่ในสังขารแล้วมีจิตวิญญาณอีกดวงมาครอบไว้ ไม่ให้จุติออกก่อนกาล แบบนี้ จะปรากฏมีในกายทิพย์แบบ ๑ อวโลกิเตศวร ๒ มัญชุศรี เท่านั้นเอง ซึ่งแม้ แต่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ตรัสรู้ในลักษณะนี้ เพราะมีบารมีเพียง ๔ อสงไขยนั้น
๒) แบบพุทธะไร้หัวใจ หรือ กายทิพย์สำเร็จเป็นกายพุทธะ แต่มโนธาตุนิพพานไปก่อนแล้ว พบในจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ "กษิติครรภ์" ซึ่งบารมีมาก แต่เพราะตอกย้ำจิตว่า "ไม่ขอสำเร็จพุทธะถ้านรกไม่ว่าง" ดังนั้น เมื่อท่านบารมีแก่จัดเต็มที่แล้ว กายทิพย์เข้าถึงำพุทธะ มโนธาตุก็นิพพานทันที (เพราะนรกยังไม่ว่างแต่จิตไม่ขอเป็นพุทธะ จิตจึงนิพพานก่อนตามแรงอธิษฐานนั้น) เช่น ท่านหุยเคอก็เป็นเช่นนี้
๓) แบบพุทธะรวมจิต หรือ การรวมกันของจิตวิญญาณ ๒ ดวงขึ้นไป แล้วมีบารมีที่มากพอสำเร็จเป็นพุทธะเต็มองค์บริบูรณ์ทั้งกายทิพย์และจิต พบในพระโพธิสัตว์ที่มีกายทิพย์แบบ "เมตตรัย" จะสามารถรวมจิตวิญญาณ ๒ ดวง รวมบารมีเข้าด้วยกันก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ดังกล่าว โดยมีกายทิพย์เป็นพุทธะ และจิตยังไม่นิพพาน บริบูรณ์แบบนี้ พบในการรวมกันของสองแบบแรกด้วย กล่าวคือ พุทธะไร้หัวใจ ประสานรวมกับ "พระเจ้า" (พระจิตที่ไม่มีกายทิพย์) เมื่อรวมกันแล้ว ซึ่งเราเรียกว่า "กุนตูซังโม" (ฝ่ายแม่ - จิต) ที่ประสานเข้ากับ "กุนตูซังโป" (ฝ่ายพ่อหรือฝ่ายกายทิพย์) นั่นเอง
๔) แบบพุทธะครอบขันธ์ หรือพุทธะที่สำเร็จได้เพราะการได้รับ "วิญญาณขันธ์" ที่ครอบมโนธาตุเปล่าๆ อีกที โดยวิญญาณขันธ์นี้เป็น "ขันธ์ยูไล" หรือกายทิพย์ที่เป็นยูไล (พุทธะ) อยู่แล้ว ลงมาครอบมโนธาตุให้ทันที เช่น ในพระสมันตภัทรโพธิสัตว์เมื่อบำเพ้ญอภิญญญาถึงที่สุด กายทิพย์จะสลาย แต่แทนที่จะเหลือแต่มโนธาตุแบบพระอวโลกิเตศวร กลับได้รับการครอบขันธ์จากพระยูไล และสำเร็จพุทธะทันที ทางธิเบตมักเรียกว่าการตรัสรู้พุทธะด้วยการระเบิดจากภายใน ด้วยพลังความร้อนในกาย
๕) แบบพุทธะบริบูรณ์ หรือพุทธะที่มีทั้งกายทิพย์เป็นพุทธะ, มีจิตเป็นพุทธะ (ไม่ใช่ไร้หัวใจพุทธะ) ทั้งยังสำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยมิต้องถูกครอบขันธ์ เกิดจากกายทิพย์ภายใน "นิพพาน" แล้วก่อรูปกายทิพย์ เป็นกายพระแก้วใสรูปพุทธะ ตามแบบพระยูไลไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เข้าถึงธรรมพร้อมด้วยทั้งอภิญญาและปัญญา สมดุลกัน ซึ่งพบได้ในจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์สมันตภัทร ที่เมื่อบำเพ็ญอภิญญาแล้วระวังไม่ให้กายทิพย์ระเบิด เปลี่ยนเป็นใช้ปัญญาแทน กายทิพย์โพธิสัตว์จะนิพพานแล้วก่อรูปเป็นพุทธะได้

หมายเหตุ
อนึ่ง ทั้ง ๕ แบบนี้ เป็นการอธิบายพื้นฐานโดยตรง แต่ในทางปฏิบัตินั้น มีเหลื่อมล้ำได้เหมือนกัน เช่น กายทิพย์เมตตรัยฯ แทนที่จะตรัสรู้พุทธะ แบบ "รวมจิต" ก็อาจตรัสรู้พุทธะแบบบริบูรณ์ ได้เช่นกัน (เข้าถึงพุทธะด้วย "จิตหนึ่ง" เท่านั้น ไม่ต้องรวม ๒ จิตวิญญาณเข้าด้วยกัน) แม้แต่กายทิพย์อื่นๆ ก็มีการเหลื่อมล้ำได้เหมือนกัน เช่น กายมัญชุศรี ก็อาจมีบางองค์ที่รับขันธ์พระยูไล เมื่อกายทิพย์นิพพาน ท่านเหล่านี้ จะมีองค์"พุทธะ" หรือ "มหาพุทธะ" ครอบขันธ์อยู่ก่อนรอเวลาที่ทำกิจเต็มที่จนกายทิพย์นิพพานไป ก็รู้แจ้งในนิพพานชัด แล้วขันธ์ยูไลก็จะครอบทันทีไม่มี
นอกตำราเฉพาะท่านที่สนใจอ่านนอกตำราครับสำหรับท่านที่ไม่สนใจนอกตำรา ขอเชิญ Go...

ท่านที่มีกายทิพย์แบบ อวโลกิเตศวรและแบบมัญชุศรี เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรมจน "กายทิพย์นิพพาน" ถ้าขันธ์ทั้ง ๕ ของท่าน ไม่มีขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ที่ "นิพพาน" จริงๆ ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าอะไรคือนิพพานและจะนิพพานได้อย่างไร? คิดเอา? นึกเอา? งั้นหรือ ไม่ได้หรอก มันต้องทดลอง, ปฏิบัติ ให้ถึงนิพพานจริงๆ คือ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งใน ๕ นั้น นิพพานไป แล้วไม่ต้องกลัวตาย จิตวิญญาณมีมาก มันมาเพิ่มเสริมให้ทีหลังได้
เมื่อท่านเข้าถึงพุทธะแล้ว บารมีจะไม่ได้กายทิพย์พุทธะแต่ก็รู้แจ้งในนิพพานท่านที่มีกายทิพย์แบบ "กษิติครรภ์" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรม, ทำกิจ ซึ่งท่าน "ไม่มีจิตใจอยากจะกระทำ"เช่น ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ทำ ทั้งที่ไม่อยากจะทำ หรือถูกเจ้านายสั่งให้ทำ ท่านไม่อยากทำ ฝืนใจ แต่ก็ยอมเขา ด้วยใจที่"กลางๆ" ไม่มีขุ่นมัว, ไม่มีขัดเคือง เหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกใช้ถึงที่สุดแห่งการกระทำแล้ว จิตท่านจะไม่เหลืออีก มโนธาตุก็จะ"นิพพาน" ไปก่อน ท่านจะรู้สึกเหมือนคนไร้หัวใจ, ไม่มีจิตใจจะกระทำอะไรอีกเลย แต่ท่านจะไม่ตาย ไม่ต้องกลัว มีวิธีอยู่ต่อได้ใครที่เข้าข่ายนี้ ก็เดินตรงต่อไปได้เลย เมื่อไรถึงที่สุดก็จะตรัสรู้ท่านที่มีกายทิพย์แบบ "เมตตรัย" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกรวมสองอย่างที่ต่างกัน เข้ากันให้ได้เป็นบารมีพื้นฐานไว้ก่อน เช่น รวมพลังธาตุน้ำก็ไฟ เมื่อทำได้แล้ว ท่านสามารถรวม "จิตวิญญาณ ๒ ดวง" ซึ่งก็ต้องเป็นจิตวิญญาณโพธิสัตว์ทั้งคู่ เช่น เมตตรัย กับ มัญชุศรี เข้าด้วยกัน ก็จะสำเร็จพุทธะได้แบบ "พุทธะรวมจิต" หรืออีกแบบคือ "ทำงานด้วยจิตปรารถนาดียิ่งยวด มุ่งหวังมาก แต่เป็น ๐"
ทำอะไรก็เจ็ง, ทำอะไรก็ ๐, พยายามขนาดไหน ๐ หมด ไม่พ้นความสูญเปล่าไปได้เลย ด้วยวิถีนี้ ในที่สุดจะสำเร็จพุทธะ
ท่านใดที่เข้าข่ายนี้ วิถีนี้แล้ว อย่าได้ลังเล เดินตรงต่อไปครับ
ท่านที่มีกายทิพย์แบบ "สมันตภัทร" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรม จนกายทิพย์ "นิพพาน" ก็จะสำเร็จพุทธะ เต็มองค์ หรือก็คือ เดินสายอภิญญาให้ถึงที่สุด ก็ถึงพุทธะด้วยจิตหนึ่ง"จิตหนึ่งคือจิตพุทธะ" ได้ สำหรับท่าน (ที่มีบารมีสมันตภัทรแล้ว)หรืออีกวิธี ก่อนที่ท่านจะระเบิดกายทิพย์ หรือถูกพลังมารเล่นงานจนหนักหน่วงอยู่นั้น ท่านจะเครียดมากจนอยากระเบิดพลังข้างในให้ท่านค่อยๆ ย่อยสลายจากภายในด้วยการ พิจารณาให้ละเอียดจากภายในของท่านเอง จนกายทิพย์ท่านจะนิพพานโดยไม่ระเบิดจะสำเร็จพุทธะแบบ "ไภษัชยคุรุพุทธะ" ได้ (ให้อาศัยปัญญาด้วย)ท่านที่เข้าข่ายนี้ มักเดินมาทางสายดำ มักมีพลังมารครอบงำมากสิ่งสำคัญคือ ควรทราบว่าจิตวิญญาณของตนเองเข้าข่ายโพธิสัตว์ในกายไหน เพื่อจะได้ เดินตรงสู่ "พุทธะ" ได้ไม่สับสน ไม่หลงทาง ลัดสั้นเร็วซึ่งการจะทราบได้ว่าตนได้โพธิสัตว์อะไร? นั้นสิ่งเป็นที่ "ไม่มีในตำรา" ไม่มีตำราไหนจะบอกได้

วิธีดู "กายทิพย์" ของท่าน ด้วยตัวของท่านเอง
สำหรับท่านที่ "ตาสามเริ่มเปิดแล้ว" ให้ท่านทำอย่างนี้เข้าสมาธิแบบใดก็ได้ ให้จิตนิ่งมีสมาธิก่อน อย่าเพิ่งใช้ตาทิพย์ในขณะที่ "ความคิดยังดำเนินอยู่" เพราะจะทำให้ "เกิดภาพนิมิตจากสิ่งที่ท่านคิด" ได้ง่าย เช่น ถ้าคิดถึง "สวรรค์" ก็จะเกิดนิมิตเป็นสวรรค์ ได้เหมือนกัน
ดังนั้น ให้ท่าน "เข้าสมาธิ วางจิตให้สงบ สยบความคิด"ก่อน จากนั้นให้ระลึกถึง "แสงสว่าง" เหมือนดวงอาทิตย์
หรือแสงสว่างที่มีรัศมีโดยรอบก่อน เมื่อได้แล้วค่อยน้อมจิตตรงไปยัง "สิ่งที่ต้องการจะเห็น" โดยการสั่งจิตเราให้ตรงไปทางไหน จะดูอะไร เช่น ถ้าจะดูกายทิพย์ตัวเอง ก็สั่งจิตว่า "กายทิพย์ชั้นนอกสุดของข้าพเจ้าจงปรากฏชัด"ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นกายทิพย์นั้น จากนั้น จะไปดูกายทิพย์ชั้นในลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ได้ หลายวิธี เช่น ใช้การเพ่งเข้าไปใน "หัวใจของกายทิพย์ชั้นนอก" จะเห็นมีดวงแก้วในกายนั้น ในดวงแก้วนั้นจะมีกายทิพย์ซ้อนอยู่อีก ที่ธรรมกายมีเคล็ดลับว่า "ในกายมีแก้ว ในแก้วมีกาย" ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงกายในสุด ก็จะไม่มีอีกท่านจะเห็นกายทิพย์ตัวเองได้ จะทราบว่าเป็นโพธิสัตว์ใดเมื่อตาทิพย์เปิดแล้ว ก็อย่าประมาทในตัวเองหลายท่าน เห็นว่าตนมีตาทิพย์เปิดแล้ว ยังไม่ทันจิตจะนิ่ง ก็ดูเลย อยากดูสวรรค์ก็ดูเลย จนเกิดภาพนิมิต ที่เกิดจาก "ความคิด" ซึ่งยังไม่สงบ ทำให้ท่านเห็น "นิมิต" ซึ่งไม่ใช่ของจริงอันนี้ เตือนท่านที่มีตาทิพย์แล้ว ให้ไม่ประมาท

ภาพนิมิตที่ไม่ใช่ของจริง แต่ "ถูกส่งมาดักตาทิพย์" เป็นอย่างไร?
บางครั้ง เวลาท่านเปิดตาทิพย์ ท่านยังไม่ได้เห็นของจริงที่ท่านตั้งใจจะดูแต่ท่านถูก "ดักตา" ด้วยภาพนิมิตที่ "โลกทิพย์ส่งมาทดสอบท่าน" บังไว้ที่ตาทิพย์ของท่าน ท่านไม่ได้เห็นของจริง แต่เห็นภาพนิมิตที่เขาส่งมาให้เท่านั้น หากท่านจะเห็นของจริงได้ ท่านจะต้องใช้ "กระแสตาทิพย์" ทะลุภาพนิมิตนั้นไปให้ได้ ท่านจึงจะเห็นของจริง ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของภาพ
นิมิตนั้น อันนี้เป็น "เทคนิก" การใช้ตาทิพย์ ซึ่งบางครั้ง ท่านอาจจะได้รับการทดสอบได้บ่อยๆ และทำให้ท่าน "หลงนิมิต" ที่ไม่ได้เกิดจากความคิดของท่านเองก็ได้ อนึ่ง การใช้ตาทิพย์นั้น มีเหตุปัจจัยทำให้คลาดเคลื่อนได้มาก อย่างที่ได้อธิบายแล้ว ท่านต้องฝึกใช้จนชำนาญและแม่นยำจริงๆ

กายทิพย์ปลอม ที่ปีศาจร้ายสร้างขึ้นหลอกตาทิพย์ท่าน
นี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่งที่ท่านจะถูกหลอกได้แม้มีตาทิพย์แล้วก็ตามเช่น ปีศาจจิ้งจอก สามารถใช้พลังพระธาตุ หลอมเป็นกายทิพย์"พุทธะ" เอาไว้ ทำให้อำพรางให้คนที่ใช้ตาทิพย์ หลงคิดว่าเขาสำเร็จพุทธะแล้ว ทั้งที่ไม่จริง (พุทธะปลอม) วิธีการดูจะต้องใช้"กระแสตาทิพย์" ทะลุทะลวงกายทิพย์นั้นให้ได้ กายทิพย์ปลอมก็จะสลาย กลายเป็นร่างของ "จิ้งจอกเก้าหาง" ปรากฏขึ้นมาได้อนึ่ง แม้คนไม่มีตาทิพย์ก็หลงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนี้ได้เช่นกัน เพราะเป็นการรับรู้โดย "จจิต" ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว (แม้ว่าไม่มีตาทิพย์)แม้ท่านจะเห็นด้วยตาทิพย์แล้ว ท่านก็ยังต้องทดสอบธรรมของเขา
ไม่ใช่ไปลองของ ไปลองวิชา ไปทดสอบเขา เพราะเมื่อใดที่ท่านไปทำกิจ"ทดสอบผู้อื่น" ที่มีบารมีธรรมมากกว่า เมื่อนั้น "ท่านจะเป็นมารทันที" ในกรรมที่กระทำนั้นๆ เอง การ "ทดสอบธรรม" นี้ อย่าได้ไปลองของ ทดสอบคนอื่น ให้เอาธรรมของเขามา แล้วทดสอบ "ตัวท่านเอง" เขาสอนอะไร ก็เอามาทดลองทำดูว่าได้จริงไหม ท่านจะไม่ถูกมารแทรก จะไม่เป็นมาร แม้
ว่าท่านจะเห็นด้วยตาทิพย์ว่าเขาดีขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ควรพิสูจน์ด้วยตนทำให้แจ้งด้วยตน จึงจะเชื่อถือในธรรมของเขาได้ ไม่ใช่แค่ "เห็นด้วยตา"
ท่านจะทำหน้าที่ "ภาคมาร" หรือ "พุทธะ" ท่านเลือกเอาเอง
ถ้าท่านอยากเป็นมารมากๆ ท่านก็จง "ทดสอบคนอื่น" ไปเรื่อยๆว่าเขาจริงไหม, ถูกไหม, แน่ไหม. ใช่ไหม, ดีไหม ฯลฯ เพราะนี่เป็น "กิจของมาร" เท่านั้น ไม่มีท่านอื่นทำหน้าที่ทดสอบเลย มีแต่มารเท่านั้นที่จะทดสอบธรรมผู้อื่น ถ้าท่านต้องการเป็นมาร ก็จงทำ จงทดสอบคนอื่นเสีย ไม่ต้องเอาธรรมของเขาไปทดลองไปปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตน เล่นงานเขา, กลั่นแกล้งเขา, ยั่วยุเขา,จับผิดเขา, กระแนะแระแหนเขา ทำเข้าไป ท่านก็จะได้ตำแหน่ง"พญามาร" สมใจของท่าน แต่ถ้าท่านไม่ได้เดินทางนี้ ท่านก็จะไม่ไปทดสอบใคร ว่าเขาดีจริงไหม? พูดถูกไหม? เชื่อได้ไหม?แต่ท่านจะ "ทดสอบตัวเอง" ด้วยการ "นำธรรมนั้นๆ ไปปฏิบัติ" ให้รู้แจ้งด้วยตน นี่แหละ "วิถีพุทธะ" ที่เป็นทางแยกไปจากมารเมื่อธรรมปรากฏ อธรรมก็จะถือกำเนิดด้วยพร้อมกัน
เมื่อใด ธรรมปรากฏ ผู้ผ่านการทดสอบ จะได้ธรรม แต่ทว่าผู้สอบตก จะกลายเป็นมารไป ใส เกิด ๑ ดำก็เกิด ๑ นี่ก็คือดุลยภาพของการเกิดและดับของสรรพสิ่ง เพียงเสี้ยวคิดนั้นกรรมเพียงนิด ก็ดึงคนลงสู่ภพมารได้แล้ว เพียงได้ลบหลู่ผู้มีธรรมแล้ว มารก็ครอบงำท่านได้ และในบรรดาผู้ฟังธรรมนั้น ท่านอื่นก็จะได้ธรรมไป สายสองสายนี้ แยกจากกัน แล้วแต่ว่าผู้ใดจะเลือกเดินทางใด ผู้ใดละความหยิ่งยะโส เอาตัวให้รอดไป เห็นตัวเป็นผู้น้อย น้อมเอาธรรมไปเฉพาะตน ให้พ้นทุกข์ ผู้นั้นพึงได้ถึงธรรม ผู้ใดหยิ่งยะโส โอหัง ทนงตนว่าแน่ว่าเหนือชั้น ทดสอบธรรมผู้อื่นได้ย่อมมิได้นำธรรมไปปฏิบัติย่อมมิได้ธรรม ได้แต่ ทดสอบคนอื่นไม่จบ เป็นมารอยู่ร่ำไปพุทธะจะกำเนิดได้ต้องมี "มาร" มาเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ไม่มีอื่นนอกจากมารแล้ว ไม่มีเทวดาเหล่าใด ที่กล้าจะทดสอบผู้บำเพ็ญธรรมและเพราะความยะโส โอหัง ของมารนั้นเอง ทำให้มารได้กิจนี้และทำกิจนี้ด้วยความหลงทนงตน ดังนั้น เป็นความจำเป็นมาก "ที่ต้องมีมาร"เพื่อทำหน้าที่ "ทดสอบ" ผู้บำเพ็ญธรรม ไม่มีมารไม่ได้ พุทธะ ก็ไม่มีพุทธะจะเกิดได้ ต้องมีมารทดสอบ นี่คือ ความเป็นจริง ดังนี้ มารจึงมีต้องมีมาร ต้องมีการทดสอบจากมาร ไม่มีอื่นใด ที่ใครจะมาทดสอบเพราะหลังการทดสอบแล้ว มารก็จะตกต่ำ อยู่ในสภาพของมารนั้นๆดังนั้น ในจำนวนผู้ที่อ่านบทความนี้ ส่วนหนึ่งจึงมีโอกาสบรรลุพุทธะและอีกส่วนหนึ่ง ก็จะเป็น "มาร" มาทำหน้าที่ "ทดสอบ" ผู้อื่นเนืองๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น