วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ไม่เท่ากัน


บารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ไม่เท่ากัน ให้ดูที่กายทิพย์ ดังนี้ฯ
บารมีของพระโพธิสัตว์ต่างกัน ส่งผลให้เมื่อตรัสรู้แล้วจะมีลักษณะต่างกัน คือ
๑) กายอวโลกิเตศวร มีบารมี ๔ อสงไขย เช่น พระอาภาโพธิสัตว์ ที่จุติลงมาเพื่อตรัสรู้เป็น "พระพุทธเจ้าสมณโคดม" ก็มีกายทิพย์แบบอวโลกิเตศวร
๒) กายมัญชุศรีโพธิสัตว์ มีบารมี ๔ - ๘ อสงไขย แตกต่างกันไปในแต่ละองค์เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว ยังมิได้กายพุทธะ แต่จะเหลือดวงจิตสว่างไสวแทน
๓) กายกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีบารมี ๘ - ๑๖ อสงไขย แตกต่างกันไปในแต่ละองค์ เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะได้กายทิพย์เป็นพุทธะ แต่มโนธาตุจะนิพพานไป
๔) กายเมตตรัยโพธิสัตว์ มีบารมีเต็ม ๑๖ อสงไขยไม่บกพร่อง เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะมีกายทิพย์พุทธะ และมโนธาตุแห่งพุทธะ (หัวใจพุทธะ) ก็ยังไม่นิพพาน
๕) กายสมันตภัทรโพธิสัตว์ มีบารมีล้นเกินกว่า ๑๖ อสงไขย เมื่อตรัสรู้พุทธะแล้ว จะมีกายทิพย์และมโนธาตุเป็นพุทธะครบองค์ โดยใช้ "จิตเดียวถึงพุทธะ"
อนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์ฯ เมื่อแบ่งภาคแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีบารมีเท่ากับองค์ต้นบารมี เช่น ถ้าพระศรีอาริยเมตตรัยแบ่งภาคลงมา ภาคแบ่งของท่าน จะมีบารมีน้อยกว่าองค์ต้นบารมี (จิตเดิมก่อนแบ่ง) เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว อาจสำเร็จเป็น
โพธิสัตว์ในกายทิพย์อื่น เช่น กายมัญชุศรี ก็ได้ อันนี้ ต้องเข้าใจให้แจ้งชัด เพื่อให้ทราบว่าพระศรีอาริยเมตตรัยมีกายทิพย์เหมือนโพธิสัตว์องค์อื่นก็ได้ อย่างไร

การตรัสรู้พุทธะ ๕ แบบ ส่งผลให้ได้จิตวิญญาณพุทธะที่แตกต่างกัน ดังนี้
๑) แบบ "พระเจ้า" หรือแบบที่กายทิพย์นิพพานไปก่อน เหลือแต่มโนธาตุ (ธาตุรู้) สว่างไสวอยู่ในสังขารแล้วมีจิตวิญญาณอีกดวงมาครอบไว้ ไม่ให้จุติออกก่อนกาล แบบนี้ จะปรากฏมีในกายทิพย์แบบ ๑ อวโลกิเตศวร ๒ มัญชุศรี เท่านั้นเอง ซึ่งแม้ แต่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ตรัสรู้ในลักษณะนี้ เพราะมีบารมีเพียง ๔ อสงไขยนั้น
๒) แบบพุทธะไร้หัวใจ หรือ กายทิพย์สำเร็จเป็นกายพุทธะ แต่มโนธาตุนิพพานไปก่อนแล้ว พบในจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ "กษิติครรภ์" ซึ่งบารมีมาก แต่เพราะตอกย้ำจิตว่า "ไม่ขอสำเร็จพุทธะถ้านรกไม่ว่าง" ดังนั้น เมื่อท่านบารมีแก่จัดเต็มที่แล้ว กายทิพย์เข้าถึงำพุทธะ มโนธาตุก็นิพพานทันที (เพราะนรกยังไม่ว่างแต่จิตไม่ขอเป็นพุทธะ จิตจึงนิพพานก่อนตามแรงอธิษฐานนั้น) เช่น ท่านหุยเคอก็เป็นเช่นนี้
๓) แบบพุทธะรวมจิต หรือ การรวมกันของจิตวิญญาณ ๒ ดวงขึ้นไป แล้วมีบารมีที่มากพอสำเร็จเป็นพุทธะเต็มองค์บริบูรณ์ทั้งกายทิพย์และจิต พบในพระโพธิสัตว์ที่มีกายทิพย์แบบ "เมตตรัย" จะสามารถรวมจิตวิญญาณ ๒ ดวง รวมบารมีเข้าด้วยกันก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ดังกล่าว โดยมีกายทิพย์เป็นพุทธะ และจิตยังไม่นิพพาน บริบูรณ์แบบนี้ พบในการรวมกันของสองแบบแรกด้วย กล่าวคือ พุทธะไร้หัวใจ ประสานรวมกับ "พระเจ้า" (พระจิตที่ไม่มีกายทิพย์) เมื่อรวมกันแล้ว ซึ่งเราเรียกว่า "กุนตูซังโม" (ฝ่ายแม่ - จิต) ที่ประสานเข้ากับ "กุนตูซังโป" (ฝ่ายพ่อหรือฝ่ายกายทิพย์) นั่นเอง
๔) แบบพุทธะครอบขันธ์ หรือพุทธะที่สำเร็จได้เพราะการได้รับ "วิญญาณขันธ์" ที่ครอบมโนธาตุเปล่าๆ อีกที โดยวิญญาณขันธ์นี้เป็น "ขันธ์ยูไล" หรือกายทิพย์ที่เป็นยูไล (พุทธะ) อยู่แล้ว ลงมาครอบมโนธาตุให้ทันที เช่น ในพระสมันตภัทรโพธิสัตว์เมื่อบำเพ้ญอภิญญญาถึงที่สุด กายทิพย์จะสลาย แต่แทนที่จะเหลือแต่มโนธาตุแบบพระอวโลกิเตศวร กลับได้รับการครอบขันธ์จากพระยูไล และสำเร็จพุทธะทันที ทางธิเบตมักเรียกว่าการตรัสรู้พุทธะด้วยการระเบิดจากภายใน ด้วยพลังความร้อนในกาย
๕) แบบพุทธะบริบูรณ์ หรือพุทธะที่มีทั้งกายทิพย์เป็นพุทธะ, มีจิตเป็นพุทธะ (ไม่ใช่ไร้หัวใจพุทธะ) ทั้งยังสำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยมิต้องถูกครอบขันธ์ เกิดจากกายทิพย์ภายใน "นิพพาน" แล้วก่อรูปกายทิพย์ เป็นกายพระแก้วใสรูปพุทธะ ตามแบบพระยูไลไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เข้าถึงธรรมพร้อมด้วยทั้งอภิญญาและปัญญา สมดุลกัน ซึ่งพบได้ในจิตวิญญาณพระโพธิสัตว์สมันตภัทร ที่เมื่อบำเพ็ญอภิญญาแล้วระวังไม่ให้กายทิพย์ระเบิด เปลี่ยนเป็นใช้ปัญญาแทน กายทิพย์โพธิสัตว์จะนิพพานแล้วก่อรูปเป็นพุทธะได้

หมายเหตุ
อนึ่ง ทั้ง ๕ แบบนี้ เป็นการอธิบายพื้นฐานโดยตรง แต่ในทางปฏิบัตินั้น มีเหลื่อมล้ำได้เหมือนกัน เช่น กายทิพย์เมตตรัยฯ แทนที่จะตรัสรู้พุทธะ แบบ "รวมจิต" ก็อาจตรัสรู้พุทธะแบบบริบูรณ์ ได้เช่นกัน (เข้าถึงพุทธะด้วย "จิตหนึ่ง" เท่านั้น ไม่ต้องรวม ๒ จิตวิญญาณเข้าด้วยกัน) แม้แต่กายทิพย์อื่นๆ ก็มีการเหลื่อมล้ำได้เหมือนกัน เช่น กายมัญชุศรี ก็อาจมีบางองค์ที่รับขันธ์พระยูไล เมื่อกายทิพย์นิพพาน ท่านเหล่านี้ จะมีองค์"พุทธะ" หรือ "มหาพุทธะ" ครอบขันธ์อยู่ก่อนรอเวลาที่ทำกิจเต็มที่จนกายทิพย์นิพพานไป ก็รู้แจ้งในนิพพานชัด แล้วขันธ์ยูไลก็จะครอบทันทีไม่มี
นอกตำราเฉพาะท่านที่สนใจอ่านนอกตำราครับสำหรับท่านที่ไม่สนใจนอกตำรา ขอเชิญ Go...

ท่านที่มีกายทิพย์แบบ อวโลกิเตศวรและแบบมัญชุศรี เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรมจน "กายทิพย์นิพพาน" ถ้าขันธ์ทั้ง ๕ ของท่าน ไม่มีขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ที่ "นิพพาน" จริงๆ ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าอะไรคือนิพพานและจะนิพพานได้อย่างไร? คิดเอา? นึกเอา? งั้นหรือ ไม่ได้หรอก มันต้องทดลอง, ปฏิบัติ ให้ถึงนิพพานจริงๆ คือ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งใน ๕ นั้น นิพพานไป แล้วไม่ต้องกลัวตาย จิตวิญญาณมีมาก มันมาเพิ่มเสริมให้ทีหลังได้
เมื่อท่านเข้าถึงพุทธะแล้ว บารมีจะไม่ได้กายทิพย์พุทธะแต่ก็รู้แจ้งในนิพพานท่านที่มีกายทิพย์แบบ "กษิติครรภ์" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรม, ทำกิจ ซึ่งท่าน "ไม่มีจิตใจอยากจะกระทำ"เช่น ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ทำ ทั้งที่ไม่อยากจะทำ หรือถูกเจ้านายสั่งให้ทำ ท่านไม่อยากทำ ฝืนใจ แต่ก็ยอมเขา ด้วยใจที่"กลางๆ" ไม่มีขุ่นมัว, ไม่มีขัดเคือง เหมือนคนโง่ที่ถูกหลอกใช้ถึงที่สุดแห่งการกระทำแล้ว จิตท่านจะไม่เหลืออีก มโนธาตุก็จะ"นิพพาน" ไปก่อน ท่านจะรู้สึกเหมือนคนไร้หัวใจ, ไม่มีจิตใจจะกระทำอะไรอีกเลย แต่ท่านจะไม่ตาย ไม่ต้องกลัว มีวิธีอยู่ต่อได้ใครที่เข้าข่ายนี้ ก็เดินตรงต่อไปได้เลย เมื่อไรถึงที่สุดก็จะตรัสรู้ท่านที่มีกายทิพย์แบบ "เมตตรัย" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกรวมสองอย่างที่ต่างกัน เข้ากันให้ได้เป็นบารมีพื้นฐานไว้ก่อน เช่น รวมพลังธาตุน้ำก็ไฟ เมื่อทำได้แล้ว ท่านสามารถรวม "จิตวิญญาณ ๒ ดวง" ซึ่งก็ต้องเป็นจิตวิญญาณโพธิสัตว์ทั้งคู่ เช่น เมตตรัย กับ มัญชุศรี เข้าด้วยกัน ก็จะสำเร็จพุทธะได้แบบ "พุทธะรวมจิต" หรืออีกแบบคือ "ทำงานด้วยจิตปรารถนาดียิ่งยวด มุ่งหวังมาก แต่เป็น ๐"
ทำอะไรก็เจ็ง, ทำอะไรก็ ๐, พยายามขนาดไหน ๐ หมด ไม่พ้นความสูญเปล่าไปได้เลย ด้วยวิถีนี้ ในที่สุดจะสำเร็จพุทธะ
ท่านใดที่เข้าข่ายนี้ วิถีนี้แล้ว อย่าได้ลังเล เดินตรงต่อไปครับ
ท่านที่มีกายทิพย์แบบ "สมันตภัทร" เข้าถึงพุทธะได้ดังนี้
ให้ท่านปฏิบัติธรรม จนกายทิพย์ "นิพพาน" ก็จะสำเร็จพุทธะ เต็มองค์ หรือก็คือ เดินสายอภิญญาให้ถึงที่สุด ก็ถึงพุทธะด้วยจิตหนึ่ง"จิตหนึ่งคือจิตพุทธะ" ได้ สำหรับท่าน (ที่มีบารมีสมันตภัทรแล้ว)หรืออีกวิธี ก่อนที่ท่านจะระเบิดกายทิพย์ หรือถูกพลังมารเล่นงานจนหนักหน่วงอยู่นั้น ท่านจะเครียดมากจนอยากระเบิดพลังข้างในให้ท่านค่อยๆ ย่อยสลายจากภายในด้วยการ พิจารณาให้ละเอียดจากภายในของท่านเอง จนกายทิพย์ท่านจะนิพพานโดยไม่ระเบิดจะสำเร็จพุทธะแบบ "ไภษัชยคุรุพุทธะ" ได้ (ให้อาศัยปัญญาด้วย)ท่านที่เข้าข่ายนี้ มักเดินมาทางสายดำ มักมีพลังมารครอบงำมากสิ่งสำคัญคือ ควรทราบว่าจิตวิญญาณของตนเองเข้าข่ายโพธิสัตว์ในกายไหน เพื่อจะได้ เดินตรงสู่ "พุทธะ" ได้ไม่สับสน ไม่หลงทาง ลัดสั้นเร็วซึ่งการจะทราบได้ว่าตนได้โพธิสัตว์อะไร? นั้นสิ่งเป็นที่ "ไม่มีในตำรา" ไม่มีตำราไหนจะบอกได้

วิธีดู "กายทิพย์" ของท่าน ด้วยตัวของท่านเอง
สำหรับท่านที่ "ตาสามเริ่มเปิดแล้ว" ให้ท่านทำอย่างนี้เข้าสมาธิแบบใดก็ได้ ให้จิตนิ่งมีสมาธิก่อน อย่าเพิ่งใช้ตาทิพย์ในขณะที่ "ความคิดยังดำเนินอยู่" เพราะจะทำให้ "เกิดภาพนิมิตจากสิ่งที่ท่านคิด" ได้ง่าย เช่น ถ้าคิดถึง "สวรรค์" ก็จะเกิดนิมิตเป็นสวรรค์ ได้เหมือนกัน
ดังนั้น ให้ท่าน "เข้าสมาธิ วางจิตให้สงบ สยบความคิด"ก่อน จากนั้นให้ระลึกถึง "แสงสว่าง" เหมือนดวงอาทิตย์
หรือแสงสว่างที่มีรัศมีโดยรอบก่อน เมื่อได้แล้วค่อยน้อมจิตตรงไปยัง "สิ่งที่ต้องการจะเห็น" โดยการสั่งจิตเราให้ตรงไปทางไหน จะดูอะไร เช่น ถ้าจะดูกายทิพย์ตัวเอง ก็สั่งจิตว่า "กายทิพย์ชั้นนอกสุดของข้าพเจ้าจงปรากฏชัด"ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นกายทิพย์นั้น จากนั้น จะไปดูกายทิพย์ชั้นในลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ได้ หลายวิธี เช่น ใช้การเพ่งเข้าไปใน "หัวใจของกายทิพย์ชั้นนอก" จะเห็นมีดวงแก้วในกายนั้น ในดวงแก้วนั้นจะมีกายทิพย์ซ้อนอยู่อีก ที่ธรรมกายมีเคล็ดลับว่า "ในกายมีแก้ว ในแก้วมีกาย" ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงกายในสุด ก็จะไม่มีอีกท่านจะเห็นกายทิพย์ตัวเองได้ จะทราบว่าเป็นโพธิสัตว์ใดเมื่อตาทิพย์เปิดแล้ว ก็อย่าประมาทในตัวเองหลายท่าน เห็นว่าตนมีตาทิพย์เปิดแล้ว ยังไม่ทันจิตจะนิ่ง ก็ดูเลย อยากดูสวรรค์ก็ดูเลย จนเกิดภาพนิมิต ที่เกิดจาก "ความคิด" ซึ่งยังไม่สงบ ทำให้ท่านเห็น "นิมิต" ซึ่งไม่ใช่ของจริงอันนี้ เตือนท่านที่มีตาทิพย์แล้ว ให้ไม่ประมาท

ภาพนิมิตที่ไม่ใช่ของจริง แต่ "ถูกส่งมาดักตาทิพย์" เป็นอย่างไร?
บางครั้ง เวลาท่านเปิดตาทิพย์ ท่านยังไม่ได้เห็นของจริงที่ท่านตั้งใจจะดูแต่ท่านถูก "ดักตา" ด้วยภาพนิมิตที่ "โลกทิพย์ส่งมาทดสอบท่าน" บังไว้ที่ตาทิพย์ของท่าน ท่านไม่ได้เห็นของจริง แต่เห็นภาพนิมิตที่เขาส่งมาให้เท่านั้น หากท่านจะเห็นของจริงได้ ท่านจะต้องใช้ "กระแสตาทิพย์" ทะลุภาพนิมิตนั้นไปให้ได้ ท่านจึงจะเห็นของจริง ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของภาพ
นิมิตนั้น อันนี้เป็น "เทคนิก" การใช้ตาทิพย์ ซึ่งบางครั้ง ท่านอาจจะได้รับการทดสอบได้บ่อยๆ และทำให้ท่าน "หลงนิมิต" ที่ไม่ได้เกิดจากความคิดของท่านเองก็ได้ อนึ่ง การใช้ตาทิพย์นั้น มีเหตุปัจจัยทำให้คลาดเคลื่อนได้มาก อย่างที่ได้อธิบายแล้ว ท่านต้องฝึกใช้จนชำนาญและแม่นยำจริงๆ

กายทิพย์ปลอม ที่ปีศาจร้ายสร้างขึ้นหลอกตาทิพย์ท่าน
นี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่งที่ท่านจะถูกหลอกได้แม้มีตาทิพย์แล้วก็ตามเช่น ปีศาจจิ้งจอก สามารถใช้พลังพระธาตุ หลอมเป็นกายทิพย์"พุทธะ" เอาไว้ ทำให้อำพรางให้คนที่ใช้ตาทิพย์ หลงคิดว่าเขาสำเร็จพุทธะแล้ว ทั้งที่ไม่จริง (พุทธะปลอม) วิธีการดูจะต้องใช้"กระแสตาทิพย์" ทะลุทะลวงกายทิพย์นั้นให้ได้ กายทิพย์ปลอมก็จะสลาย กลายเป็นร่างของ "จิ้งจอกเก้าหาง" ปรากฏขึ้นมาได้อนึ่ง แม้คนไม่มีตาทิพย์ก็หลงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นนี้ได้เช่นกัน เพราะเป็นการรับรู้โดย "จจิต" ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว (แม้ว่าไม่มีตาทิพย์)แม้ท่านจะเห็นด้วยตาทิพย์แล้ว ท่านก็ยังต้องทดสอบธรรมของเขา
ไม่ใช่ไปลองของ ไปลองวิชา ไปทดสอบเขา เพราะเมื่อใดที่ท่านไปทำกิจ"ทดสอบผู้อื่น" ที่มีบารมีธรรมมากกว่า เมื่อนั้น "ท่านจะเป็นมารทันที" ในกรรมที่กระทำนั้นๆ เอง การ "ทดสอบธรรม" นี้ อย่าได้ไปลองของ ทดสอบคนอื่น ให้เอาธรรมของเขามา แล้วทดสอบ "ตัวท่านเอง" เขาสอนอะไร ก็เอามาทดลองทำดูว่าได้จริงไหม ท่านจะไม่ถูกมารแทรก จะไม่เป็นมาร แม้
ว่าท่านจะเห็นด้วยตาทิพย์ว่าเขาดีขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ควรพิสูจน์ด้วยตนทำให้แจ้งด้วยตน จึงจะเชื่อถือในธรรมของเขาได้ ไม่ใช่แค่ "เห็นด้วยตา"
ท่านจะทำหน้าที่ "ภาคมาร" หรือ "พุทธะ" ท่านเลือกเอาเอง
ถ้าท่านอยากเป็นมารมากๆ ท่านก็จง "ทดสอบคนอื่น" ไปเรื่อยๆว่าเขาจริงไหม, ถูกไหม, แน่ไหม. ใช่ไหม, ดีไหม ฯลฯ เพราะนี่เป็น "กิจของมาร" เท่านั้น ไม่มีท่านอื่นทำหน้าที่ทดสอบเลย มีแต่มารเท่านั้นที่จะทดสอบธรรมผู้อื่น ถ้าท่านต้องการเป็นมาร ก็จงทำ จงทดสอบคนอื่นเสีย ไม่ต้องเอาธรรมของเขาไปทดลองไปปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตน เล่นงานเขา, กลั่นแกล้งเขา, ยั่วยุเขา,จับผิดเขา, กระแนะแระแหนเขา ทำเข้าไป ท่านก็จะได้ตำแหน่ง"พญามาร" สมใจของท่าน แต่ถ้าท่านไม่ได้เดินทางนี้ ท่านก็จะไม่ไปทดสอบใคร ว่าเขาดีจริงไหม? พูดถูกไหม? เชื่อได้ไหม?แต่ท่านจะ "ทดสอบตัวเอง" ด้วยการ "นำธรรมนั้นๆ ไปปฏิบัติ" ให้รู้แจ้งด้วยตน นี่แหละ "วิถีพุทธะ" ที่เป็นทางแยกไปจากมารเมื่อธรรมปรากฏ อธรรมก็จะถือกำเนิดด้วยพร้อมกัน
เมื่อใด ธรรมปรากฏ ผู้ผ่านการทดสอบ จะได้ธรรม แต่ทว่าผู้สอบตก จะกลายเป็นมารไป ใส เกิด ๑ ดำก็เกิด ๑ นี่ก็คือดุลยภาพของการเกิดและดับของสรรพสิ่ง เพียงเสี้ยวคิดนั้นกรรมเพียงนิด ก็ดึงคนลงสู่ภพมารได้แล้ว เพียงได้ลบหลู่ผู้มีธรรมแล้ว มารก็ครอบงำท่านได้ และในบรรดาผู้ฟังธรรมนั้น ท่านอื่นก็จะได้ธรรมไป สายสองสายนี้ แยกจากกัน แล้วแต่ว่าผู้ใดจะเลือกเดินทางใด ผู้ใดละความหยิ่งยะโส เอาตัวให้รอดไป เห็นตัวเป็นผู้น้อย น้อมเอาธรรมไปเฉพาะตน ให้พ้นทุกข์ ผู้นั้นพึงได้ถึงธรรม ผู้ใดหยิ่งยะโส โอหัง ทนงตนว่าแน่ว่าเหนือชั้น ทดสอบธรรมผู้อื่นได้ย่อมมิได้นำธรรมไปปฏิบัติย่อมมิได้ธรรม ได้แต่ ทดสอบคนอื่นไม่จบ เป็นมารอยู่ร่ำไปพุทธะจะกำเนิดได้ต้องมี "มาร" มาเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ไม่มีอื่นนอกจากมารแล้ว ไม่มีเทวดาเหล่าใด ที่กล้าจะทดสอบผู้บำเพ็ญธรรมและเพราะความยะโส โอหัง ของมารนั้นเอง ทำให้มารได้กิจนี้และทำกิจนี้ด้วยความหลงทนงตน ดังนั้น เป็นความจำเป็นมาก "ที่ต้องมีมาร"เพื่อทำหน้าที่ "ทดสอบ" ผู้บำเพ็ญธรรม ไม่มีมารไม่ได้ พุทธะ ก็ไม่มีพุทธะจะเกิดได้ ต้องมีมารทดสอบ นี่คือ ความเป็นจริง ดังนี้ มารจึงมีต้องมีมาร ต้องมีการทดสอบจากมาร ไม่มีอื่นใด ที่ใครจะมาทดสอบเพราะหลังการทดสอบแล้ว มารก็จะตกต่ำ อยู่ในสภาพของมารนั้นๆดังนั้น ในจำนวนผู้ที่อ่านบทความนี้ ส่วนหนึ่งจึงมีโอกาสบรรลุพุทธะและอีกส่วนหนึ่ง ก็จะเป็น "มาร" มาทำหน้าที่ "ทดสอบ" ผู้อื่นเนืองๆ

เจ้าแม่กวนอิม...จากประสบการณ์ผู้ทรงอภิญญาญาณ

เจ้าแม่กวนอิม...จากประสบการณ์ผู้ทรงอภิญญาญาณ
จากที่ผมศึกษาพระพุทธศาสนามาแต่ยังเล็ก อ่านไปอ่านมาบางคราวก็เกิดวิจิกิจฉาว่าตกลงพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้าทั้งปวงนั้น ท่านสร้างเราขึ้นมาในโลกกลม ๆ ใบนี้...
หรือเราสร้างท่านกันแน่ ?
คิดไปคิดมาพอให้ปวดหัวเล่นก็เลิกคิด ครั้นโตพอรู้ความก็เริ่มได้ยินครูบาอาจารย์บ้าง ฆราวาสผู้ทรงธรรมบ้าง กล่าวถึงเทพองค์นั้นองค์นี้ให้หูผึ่ง และที่ผึ่งจนกาง...เห็นจะไม่พ้น...เจ้าแม่กวนอิม
สมัยหนึ่งได้อ่านบันทึกและคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกันดีกับท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ ที่ต้องคุยเพราะนายพลท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ฝึกฝนสมาธิจิตจนสงบนิ่งควรแก่การงาน ควรแก่การพบเห็นผู้อยู่ต่างภพภูมิได้อย่างน่าทึ่ง และวาระหนึ่งท่านก็ได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิม
ท่านนายพลเล่าว่าท่านมักทำสมาธิเมื่อมีเวลาว่างเสมอ โดยเฉพาะก่อนนอนจะนั่งเป็นชั่วโมง ๆ ทุกวัน วันหนึ่งขณะจิตสงบได้พบหญิงสาวนางหนึ่งเหาะลอยมาในอากาศแวดล้อมด้วยหมู่เมฆสวยงามนัก สตรีท่านนั้นแต่งตัวด้วยชุดจีนพื้นขาวมีลายดอกสีแดงปักห่าง ๆ ใบหน้ายิ้มละมัยเปี่ยมด้วยเมตตา
ครั้นเอ่ยวาจาน้ำเสียงก็ไพเราะดุจระฆังเงินก้องกังวานทั่ว ท่านแนะนำองค์ว่าท่านคือ เจ้าแม่กวนอิม ที่มานี้เพราะสวรรค์เห็นในคุณความดีที่นายพลสมานได้กระทำมาตลอดชีวิต และยังเข้าพระกัมมัฏฐานภาวนาโดยสม่ำเสมอ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกจึงมีบัญชาให้องค์อวโลกิเตศวรนำคำพรมาให้ จากนั้นท่านก็ให้พรเป็นภาษาจีนแต่ไม่ยาวเท่าใด และท่านก็กล่าวลา
เมื่อออกจากสมาธิท่านนายพลก็ไม่แน่ใจว่าตนเกิดนิวรณ์ไปเองหรือเปล่า ด้วยท่านนั้นนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่สุด รู้จักแต่พระไทย ไม่เคยสนใจในเรื่องเจ้าแม่กวนอิมหรือเจ้าจีนที่ไหนเลย ครั้นคิดไม่ตกท่านก็วางเฉยต่อเหตุการณ์
ไม่นานเท่าใดนัก ขณะท่านทำสมาธิในอีกวาระหนึ่งองค์กวนอิมก็มาพบอีกครั้ง คราวนี้ทรงชุดขาวปักลายคล้ายปล้องไผ่และใบไผ่เป็นสีทอง ชายผ้าทั้งแขนเสื้อและคอเสื้อขลิบด้วยด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับงามตา ทั้งการแต่งองค์และวงพักตร์ในครั้งนี้งดงามกว่าหนก่อนมากนัก ท่านนายพลถึงแก่ตะลึงด้วยไม่นึกว่าจะพบท่านอีกเป็นคำรบสอง
ท่านปรารภว่า เราคือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าท่านมิได้ฝันเพ้อหรือเกิดนิวรณ์ในจิตแต่อย่างใด หนก่อนเรานำพรจากสวรรค์มาให้ตามโองการ เมื่อท่านไม่แน่ใจเราจึงต้องมาอีกครั้ง และครั้งนี้เราจะประทานอักษรให้แก่ท่านด้วย
แล้วองค์กวนอิมก็คลี่ม้วนผ้าแดงปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนอยู่ภายในให้ดู พร้อมกับอ่านให้ฟังอย่างชัดเจน
กวนอิมไต้ซือ ซี่สื่อ ฮกลกหงีเทียนสื่อ
อ่านแล้วก็ทำกิริยายื่นม้วนผ้านั้นให้ ท่านนายพลรับมาอย่างซาบซึ้งในกรุณา เจ้าแม่ยังสั่งอีกว่า ท่านจะจำได้ขึ้นใจทั้งคำอ่านและอักษร จากนี้จงหาผู้รู้หนังสือจีนให้เขาเขียนลงกระดาษแดงด้วยอักษรสีทองแล้วใส่กรอบบูชาไว้ จะบังเกิดโชคลาภ ปราศจากภัยอันตรายแก่ผู้บูชาด้วยอำนาจแห่งเรา และยังสามารถสวดบริกรรมโองการสวรรค์นี้ได้อยู่เรื่อย ๆ จะได้รับพรอันประเสริฐจากเทวโลก ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากเราพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วท่านก็จากไป
เมื่อท่านนายพลออกจากสมาธิ น่าประหลาดว่าท่านสามารถจำลักษณะตัวอักษรและการออกเสียงได้หมดทั้งที่ท่านพลโทสมานไม่รู้หนังสือจีนเลย และท่านก็ไปจ้างซินแสแถวเยาวราชให้เขียนหนังสือนี้ใส่กรอบบูชาไว้เพื่อระลึกถึงคุณแห่งพระแม่กวนอิม และยังเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ทำไว้บูชาที่บ้าน ได้สวดตามเพื่อความเป็นสิริมงคลเสมอ
นี่เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ผมเชื่อถือในท่านมาก่อนหน้า เมื่อผู้ที่ผมเชื่อใจยังยอมรับถึงความมีอยู่จริงของเจ้าแม่กวนอิม ผมก็เริ่มคล้อยตาม...
วันหนึ่งขณะที่พระเดชพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทสุวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี กำลังเจริญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถ ท่านนิมิตเห็นคนจีนแต่งชุดอย่างชาวจีนโบราณเข้ามาแสดงคารวะท่านแปดคน
ทั้งแปดแนะนำตัวเองว่าเป็น แปดเซียน ในลัทธิเต๋าที่คนทั่วไปนับถือบูชา ที่มาวันนี้เพราะรับบัญชาจากองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ให้มานิมนต์พระคุณเจ้าเป็นสาวกในพระองค์ท่าน ขณะที่พูดก็ยื่นชุดจีวรอย่างพระจีนถวายแด่หลวงปู่โต๊ะ ท่านแปลกใจนักแต่ก็มิได้สนใจไม่ว่าทั้งแปดจะอ้อนวอนอย่างไรท่านก็เพิกเฉยเสีย นานพอสมควรทั้งแปดเซียนก็ลากลับไป
ถึงตรงนี้ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เขามีตัวตนจริง ๆ นะ ที่วาดไว้ตามถ้วยโถเครื่องเคลือบต่าง ๆ นี่เขามีจริง จากวันนั้น ปรากฏว่าแปดเซียนมาอ้อนวอนหลวงปู่ทุกวันขอให้รับชุดครองอย่างพระจีนและลงใจเป็นสาวกในเจ้าแม่กวนอิม โป๊ยเซียนมาตลอดเจ็ดวัน หลวงปู่ก็ปฏิเสธไปทั้งเจ็ดวันเช่นกัน
แต่วันนี้มาแปลก เซียนทั้งแปดเข้ามาแบบไม่เร่งรัดอะไรบอกเพียงพระคุณเจ้าตัดสินใจหรือยัง หลวงปู่โต๊ะก็ตอบปฏิเสธอีก แปดเซียนจึงว่า วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วย ประทับรออยู่นอกโบสถ์ พอเซียนอ้างดังนี้หลวงปู่ก็กำหนดจิตเฉยเสียไม่สนใจ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเซียนเรียกให้ลืมตา เมื่อท่านมองดูก็เห็นสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวสะอาด ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ทั้งยังมีรัศมีที่โอภาสสว่างไสวไปตลอดทั้งอุโบสถ
สตรีที่บอกว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมได้พูดจาชักจูงหลวงปู่ด้วยตัวเองตลอดเวลา ท่านเล่าว่าเสียงเจ้าแม่นั้นไพเราะนัก น้ำเสียงก็อ่อนโยน จิตท่านน่ะปฏิเสธแต่ร่างกายไม่รู้เป็นอย่างไรไปเผลอรับชุดพระจีนซึ่งเป็นกางเกงมาสวมได้ถึงเข่าก็ระลึกได้ จึงรีบถอดโยนทิ้งไป
เจ้าแม่ก็รวบรัดเลยว่าบัดนี้หลวงปู่โต๊ะเป็นสาวกในองค์ท่านแล้ว ต่อไปนี้เมื่อถึงเทศกาลกินเจหลวงปู่ต้องฉันเจทุกคราวไปตลอดเวลา 10 วัน ว่าแล้วก็ลาหายไปพร้อมแปดเซียน
หลวงปู่ปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่แล้ว แต่การกินเจเป็นเรื่องละเอียดมาก พระผู้บิณฑบาตเลี้ยงชีพจะไปสั่งรายการอาหารญาติโยมอย่างไรได้ ท่านก็ทำเฉย ๆ พอถึงเทศกาลเจซึ่งท่านไม่ฉัน ปรากฏว่าท่านล้มป่วยหนักไม่น่าเชื่อ ครั้นพ้นเทศกาลสิบวันท่านก็หายป่วย หลวงปู่ทดลองอย่างนี้อยู่ราว 3 ปี ท่านก็แน่ใจได้ว่าเป็นด้วยอำนาจองค์กวนอิม ท่านต้องมีบุพกรรมเกี่ยวพันกันมาก่อนแน่นอน
ปีต่อมาท่านจึงเริ่มฉันเจและท่านก็ไม่ป่วยจริง ๆ ส่วนชุดพระผู้ใหญ่ฝ่ายจีนนิกาย ท่านเปรยกับเจ้าแม่ว่าท่านไม่รู้จะหาที่ไหน เจ้าแม่ก็ว่าไม่ต้องกังวลท่านจะให้ศิษย์นำมาถวาย ไม่นานก็มีชายจีนคนหนึ่งเอาชุดพระจีนมาถวายหลวงปู่โดยบอกว่า ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมสั่งให้เอาจีวรมาถวายหลวงปู่วัดประดู่ฉิมพลี
หลวงปู่โต๊ะจึงห่มแต่จีวรพระจีนที่เป็นตาราง ๆ ทับลงบนจีวรอย่างพระไทยซึ่งท่านครองไว้เรียบร้อยแล้วภายในทุกวัน และจะห่มเมื่อใกล้เวลาจำวัดเท่านั้นพอรุ่งก็ถอดออก ท่านว่าไม่อยากให้ใครเห็นจะไม่ดี
เหตุนี้ชาวจีนจึง ขึ้น หลวงปู่โต๊ะมากเล่าลือกันไปว่าหลวงปู่โต๊ะสำเร็จเป็น เซียน แล้ว ที่จริงผมอยากบอกว่าหลวงปู่น่ะ เลยเซียน ไปแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าเชื่อหลวงปู่ ก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมมีจริง แม้จะผิดหลักกาลามสูตรอยู่บ้าง วาระนี้ผมก็ยอม ด้วยผมเชื่อในหลวงปู่โต๊ะสุดหัวใจ
เคยมีศิษย์คนหนึ่งนำรูปบูชาของเจ้าแม่กวนอิมไปถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิต ท่านเอาดินสอพองมาขีดเขียนอักขระบนองค์เจ้าแม่อยู่นาน และแม้เป็นแค่ดินสอพองแต่กลับทะลุลงจับในเนื้อพระได้จนถึงวันนี้แม้ผ่านมานานนับสิบ ๆ ปีน่าอัศจรรย์
ต่อข้อถามถึงการมีอยู่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่ดู่ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่อธิบายอะไร หากเปรยขึ้นเพียงว่า อ้อ ! เจ๊น่ะเหรอ
เจ๊ แปลว่า พี่สาว หลวงปู่ดู่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้ปรารถนาเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่าผู้ข้องอยู่ในความรู้ ผู้ประสงค์ความรู้แจ้ง คือการตรัสรู้นั่นเอง เมื่อทั้งสองท่านประสงค์ในเป้าหมายเดียวกัน การที่หลวงปู่เรียกพระแม่กวนอิมเชิงหยอกว่า เจ๊ อาจหมายได้ว่าองค์กวนอิมสร้างบารมีอยู่ก่อนท่าน เป็นผู้ปรารถนาจุดหมายเดียวกันหากลงมือบำเพ็ญก่อนหลังเท่านั้น ท่านเลยยกพระแม่กวนอิมเป็นพี่สาวในทางธรรม หลักอาวุโส-ภันเต
ราวปี พ.ศ.2539 แม่ชีซูง้อ แซ่เอ็ง ศิษย์ในพระเดชพระคุณพระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้อาราธนาหลวงพ่อให้เดินทางไปโปรดโยมบิดา-มารดาและญาติมิตร ณ ประเทศสิงคโปร์ ทัวร์นั้นมีศิษย์ติดตามไปหลายคน ตอนหนึ่งของการเดินทางแม่ชีซูง้อได้พาหลวงพ่อจรัญไปชมรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 3 องค์ที่ชาวสิงคโปร์นับถือมาก ขณะเดินชมสถานที่ซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงามนั้น จู่ ๆ หลวงพ่อจรัญได้สั่งศิษย์ผู้ชายซึ่งถือย่ามท่านอยู่ให้เอาซองปัจจัยในย่ามของท่านทั้งหมดใส่ลงตู้รับบริจาคที่ตั้งอยู่ใกล้กับองค์เจ้าแม่กวนอิม และสั่งให้ศิษย์ที่ไปด้วยทั้งหมดลงมือทำบุญทันที กำชับอีกว่าทำบุญแล้วจงอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาอย่างสูงสุดในชีวิตเดี๋ยวนี้
ทุกคนแม้งงกับเหตุการณ์แต่เชื่อหลวงพ่อนี่แน่นอนที่สุด จึงรีบควักปัจจัยหย่อนลงตู้บริจาคเป็นโกลาหล เมื่อทำบุญเสร็จและกลับมายังบ้านพัก ท่านเมตตาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายว่า ขณะที่ท่านยืนพิจารณารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่นั้น ได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่งลอยออกมาจากองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างชาวจีนซึ่งสวยงามมาก แสดงคารวะต่อท่านและยิ้มแย้มยินดี
หลวงพ่อกำหนด เห็นหนอ ก็ทราบได้ทันทีว่าเทพธิดาองค์นี้เป็นเทพเจ้าระดับสูง มีบุญญาภินิหารมากนัก บำเพ็ญบารมีมาทาง สัจจะวาจา ทำให้เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ เมื่อให้พรใครย่อมเป็นไปตามนั้นทุกประการ ที่มารักษารูปจำลองเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เพราะรับบัญชาจากพระแม่กวนอิมโดยตรงเพื่อโปรดมนุษย์
และขณะนั้นเทพเจ้าองค์นี้ก็ปรารถนาจะอำนวยพรแก่หลวงพ่อและชาวคณะ ท่านจึงรีบทำทานบารมีและสั่งคณะศิษย์ให้ทำตาม เพื่อสร้าง กรรมพัวพัน อันจะเปิดโอกาสให้พรที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจริงขึ้นมา เป็นมงคลแก่คณะศิษย์ที่ติดตามไปตลอดชีวิต สุดยอดไหมล่ะกับหลวงพ่อวัดอัมพวัน ?
เรื่องเหล่านี้คือความจริงที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ นับว่าเป็นสิริแก่ตนอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีญาณรู้เห็นด้วยตน ชั้นชั่วแต่ได้ผู้ทรงญาณยืนยัน ผมก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ผมหายสงสัยได้ในเรื่องเจ้าแม่กวนอิม ไม่เพียงเพิ่มพูนศรัทธาในท่าน ยังเลื่อมใสไปถึงท่านผู้เมตตาแจ้งข่าวเหล่านั้นด้วย หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม และ ท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ
บทความดีๆจาก [url=http://www.udon108.com/board/index.php?topic=18196.25;wap2]

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อโลกถึงกาลวิสัญญี

เมื่อโลกถึงกาลวิสัญญี
           โลกของเรา ณ พุทธศักราช 2553 ซึ่งเลยกึ่งพุทธกาลมาแล้วเป็นเวลา 53 ปีเริ่มเดินทางเข้าสู่การนับถอยหลังของการ “เสื่อม” ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ “กฎแห่งกรรม” จะมีมนุษย์สักกี่คนที่ระลึกนึกถึงความเสื่อมไปของโลกและจิตวิญญาณของมนุษย์เอง เราเหลือเวลาอีกกันคนละสักกี่ปี กี่ชาติที่จะข้ามพ้นจากความทุกข์ในวัฏสงสาร เรายังประมาทในการดำรงชีวิตอยู่ทุกๆวัน เราเสพเทคโนโลยี วัตถุนิยมที่สนองความต้องการของตัวเอง โดยลืมรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอน แสงธรรมแห่งพุทธองค์กำลังเริ่มริบหรี่ลง แต่แสงไฟแห่งกิเลสตัณหากำลังรุกโชนอยู่ในตัวตนของคนยุคนี้ มนต์มายาหลอกล่อให้เราหลงติดอยู่ในความสุขทางวัตถุ “กิน กาม เกียรติ” เราเหมือนกับแมลงเมาบินเข้ากองไฟหรืออาจจะกล่าวว่ากองเพลิงแห่งกิเลสก็คงไม่ผิดนัก
            อายุพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมบรมครูมีอายุยืนยาว 5000 ปี หลังกึ่งพุทธกาล 2500 ปีไปแล้วอีก 500 ปี เหล่าเทวดา เทพ พรหมทั้งหลายจะขอดูแลสืบต่อพระพุทธศาสนาจนถึงกาลพุทธศักราช 3000 ปี ต่อจากนั้นไปเหล่ามารและสัตว์นรกทั้งหลายก็จะขอดูแลพระพุทธศาสนาต่อจนครบ 5000 ปี
            เพราะฉะนั้นเหลือเวลาอีก 447 ปี เราจะเข้าสู่พุทธศักราช 3000 หากชีวิตมนุษย์ยืนยาวเฉลี่ย 100 ปี นั้นหมายถึงเราเหลือเวลาอีก “สี่ชั่วอายุคน” เท่านั้นที่จะสร้างกุศลและมีชีวิตอยู่อย่างปกติ หากจะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่กึ่งพุทธกาลเป็นต้นไป ชีวิตมนุษย์จะเริ่มอยู่ด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น นับวันเราจะพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกวันๆและรวมไปถึงความวิปริตของจิตใจมนุษย์ก็จะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คนดีค่อยๆ หนีหายเข้าสู่ป่า คนชั่วกลับกลายเดินอยู่ทั่วท้องถนน และยิ่งเข้าใกล้ พุทธศักราช 3000 ปี มนุษย์เราก็จะด้อยลง ต่ำลงเตี้ยลง ไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักสงฆ์ เอาคนเป็นพระ เอาพระเป็นคนมั่วกามโลกีย์ พระก็ไม่ใช่พระ “คนก็ไม่ใช่คน” โลกในตอนนั้นจะเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ทั่วโลก แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมโลก ทั้งโรคระบาด จนเกิดล้มตายเป็นอันมาก เหลือมนุษย์เพียงสามส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น เทคโนโลยีสูญหายมนุษย์ต้องกลับไปใช้ชีวิตตามแบบบรรพกาลอย่างสมบูรณ์
         ดูก่อนผู้ปัญญาทั้งหลายเมื่อท่านอ่านมาได้ถึงตอนนี้ ท่านผู้ใดมีปัญญาก็จะเห็นภัยในความเสื่อมนี้ แต่หากจะว่าไปแล้ว อีกตั้งสี่ร้อยกว่าปีกาลนั้นถึงจะเกิดขึ้น เราตายแล้วเกิดอีกตั้ง 4 ชาติแน่ะ! ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะไป แต่ดูก่อน! ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ชาติหน้าท่านจะได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาอีก ท่านจะไม่ไปตกนรกหรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานดอกหรือ? หากท่านไปเกิดยังเมืองนรกอีกนานเท่าไรเล่ากว่าท่านจะพ้น นรกขุมหนึ่งอายุมากโขพอดู คิดซะว่าถ้าตกนรกชาตินี้ก็คงไม่ทันศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยเป็นแน่ หรือถ้าท่านเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วท่านต้องหลงเกิดหลงตายไม่รู้กี่รอบกว่าจะพ้นก็คงอาจจะไม่ทันศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยอยู่ดี
            เขาถึงบอกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ชาตินี้ท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา เขาให้โอกาสเรามาเกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ก็ทำดีให้สมกับที่ได้เกิดมาไม่ดีกว่าหรือ ทำให้ยิ่งๆ ทำให้สุดทางจนพ้นทุกข์ อย่างน้อยๆ ได้สวรรค์สมบัติหรือพระโสดาบันก็ยังดี
             หากที่ได้เล่ามาแล้วท่านผู้ปัญญายังเห็นว่าก็ยังไกลตัวอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นลองอีกสักสิบปีข้างหน้าอันเป็นเวลาอีกไม่นานเกินรอซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของ “กลียุค” ประมาณปีพุทธศักราช 2560-2563  จะเกิดซึนามิภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่อีกครั้งแถบทะเลอันดามันซึ่งส่งผลกระทบมากมายกว่าซึนามิครั้งที่แล้ว ความสูงของคลื่นยักษ์ 6 เมตร จะถาโถมเข้ากวาดทุกสิ่งทุกอย่างหายไปในพริบตา อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ พม่า ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ บูรไน ญี่ปุ่น กัมพูชา เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ จะได้รับผลกระทบกับคลื่นยักษ์ในครั้งนี้ ซึ่งสัญญาณเตือน ณ ปัจจุบันว่าจะเกิดซึนามิในอีกประมาณสิบปีข้างหน้าคือ ภูเขาไฟในประเทศอินโดนีเซียที่กำลังประทุอยู่ในตอนนี้ บ่งบอกว่าภายใต้เปลือกโลกที่เต็มไปด้วยลาวากำลังหาทางระบายผุดขึ้นสู่พื้นผิวโลก เป็นการปรับสมดุลให้กับธรรมชาติที่มนุษย์ได้ทำลายระบบนิเวศของโลกให้เสื่อมลง ทำให้ภายใต้พื้นผิวโลกเองต้องมีการปรับสมดุลตัวเองเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน แต่อีกไม่นานภูเขาไฟในอินโดนีเซียจะกลับสงบเงียบเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นการปิดเส้นทางที่จะระบายออกของลาวา ส่งผลให้ภายใต้พื้นผิวนั้นกลับปั่นป่วนเพิ่มแรงกดภายใต้พื้นผิวโลกส่งผลให้มีความรุนแรงมหาศาลพร้อมที่จะทำลายล้างมากยิ่งขึ้นไปอีก
     การปรับตัวอีกครั้งของลาวามันจะพยายามหาเส้นทางเพื่อจะระบายความร้อนระอุของลาวาออกมาให้ได้ตามรอยต่อของเปลือกโลกซึ่งทำให้เกิดการสั่นไหวของพื้นแผ่นดินด้วยแรงมหาศาลในบริเวณคาบมหาสมุทรอินเดีย เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่ชายฝั่งของแต่ละประเทศ ผู้คนละล้มตายเป็นจำนวนมาก
            ซึ่งความรุนแรงในแต่ละประเทศนั้นก็ยังไม่สามารถประเมินได้เช่นกันทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจาก “กฎของธรรมชาติ” ท่านผู้มีปัญญาอาจจะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น ซึ่งจะขออธิบายไว้อย่างนี้ว่า
            “ธรรมชาติคือธรรมะซึ่งอิงกับธรรมจักร ตราบใดที่มนุษย์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในกุศลผลบุญ ธรรมชาติก็จะช่วยบัดเป่าทุกภัยให้บรรเทาเบาบางลงตามกุศลกรรมของแต่ละคนแต่ละประเทศทำกันไว้ ธรรมะเหมือนของฟรีที่อยู่ในอากาศ ท่านผู้ใดมีปัญญาบารมีก็สามารถที่จะนำของฟรีจากธรรมชาติมาตีความให้ได้ข้อธรรมเกิดปัญญาเห็นภัยในวัฏสงสาร”
             ชะตากรรมของมนุษย์ยังไม่หมดแค่นั้นเมื่อเกิดซึนามิแล้ว ภัยที่ตามมาอีกอย่างคือการเกิดโรคระบาด  เกิดสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้เชื้อโรคกลายพันธุ์ดื้อยา และทางโลกของวิญญาณก็จะเกิดจากความไม่บริสุทธิ์ของกระแสโลกที่มนุษย์มีแต่อิจฉาริษยา ตัณหาราคะ จึงทำให้กระแสของจิตไม่บริสุทธิ์มีสิ่งเจือปน ทำให้เกิดเป็นเชื้อโรคใหม่ๆขึ้นมา เกิดโรคแปลกประหลาดที่ไม่สามารถรักษาได้ เชื้อโรคส่วนใหญ่กลายพันธุ์ทำให้ไม่สามารถผลิตยาออกมาทันกับความต้องการทำให้ผู้คนล้มตายลง และโรคในปัจจุบันที่มีอยู่เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ โรคเบาหวาน และโรคต่างๆ ก็จะรักษาได้ยากยิ่งขึ้นเกิดการดื้อยาซึ่งเป็นผลพวงมาจากสารเคมีที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาใช้ในการเกษตร ฉีดพืชผัก ผลไม้ ใช้ในการเลี้ยงสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ทำให้พิษสะสมในเนื้อสัตว์ที่นำมากินเป็นอาหาร อีกทั้งอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีตามโรงงานต่างๆ อาหารสังเคราะห์ทั้งหลาย เมื่อมนุษย์กินอาหารที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้เข้าไปพิษจากอาหารก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายพร้อมทั้งมีปัจจัยตัวเร่งจากสภาพแวดล้อม อากาศที่ไม่บริสุทธิ์และจิตที่มีแต่กิเลสก็จะทำให้ร่างกายป่วย เซลล์ที่เคยดีก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เกิดการดื้อยารักษายาก ผู้คนก็จะทยอยเกิดโรคและล้มตายในที่สุด
            นอกจากโรคระบาดแล้ว เมื่อเกิดซึนามิน้ำก็จะเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรเกิดความเสียหายกับพืชผลทางการเกษตร เกิดขาดแคลนอาหาร ข้าวยากหมากแพง การหากินลำบากมากยิ่งขึ้นผู้คนอดอยากยากเข็ญ ประเทศที่พึ่งพิงกับประเทศเกษตรกรรมก็จะได้รับความเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือการเคลื่อนเข้าสู่กลียุคของแท้ในอีกไม่เกินสิบปีนี้
           ประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นประเทศอินเดีย ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่เป็นจุดรวมศาสนาสำคัญๆ หลายศาสนา ไม่ว่าจะเป็น พราหมณ์ ฮินดู พุทธ รวมถึงลัทธิใหม่ๆ อีกหลายลัทธิและชาวอินเดียส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้า คติความเชื่อของชาวอินเดียเชื่อว่า การฆ่าสัตว์บูชายันเพื่อขอพรต่อเทพเจ้านั้นจะได้บุญมากและจะได้พรตามคำขอ ฉะนั้นสัตว์จำนวนมากต้องมาสังเวยชีวิตด้วยการทำบุญของชาวอินเดีย เพราะผลกรรมที่ชาวอินเดียร่วมกันทำนั้นก็จะส่งผลให้ได้รับความทุกขเวทนาจากภัยธรรมชาติมากที่สุด เขาเห็นชีวิตสัตว์เพื่อนร่วมโลกเป็นผักปลาฆ่าได้ง่ายๆ เพื่อสนองความต้องการตามคติความเชื่อผิดๆ จึงทำให้เกิดกรรมเวรต่อกัน สร้างภพชาติไม่จบสิ้นและต้องมารอรับผลกรรมในเร็ววันนี้
          เพราะฉะนั้นหากประเทศใด ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศลไม่เอารัดเอาเปรียบกันอยู่ด้วยความรักและสามัคคีไม่เบียดเบียนกัน ภัยพิบัติที่จะรุนแรงก็จะลดน้อยเบาบางลง เพราะ “ธรรมชาติให้โอกาสมนุษย์เสมอ” แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ามนุษย์จะให้โอกาสตัวเองหรือเปล่า?
             สำหรับประเทศไทยนั้นจะเกิดภัยพิบัติเป็นช่วงๆ เป็นระลอก ซึ่งเป็นการเตือนล่วงหน้าถ้าคนไทยตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศลไม่ประมาทในการทำความดี ธรรมชาติก็ให้โอกาส พักยกให้ได้ตั้งตัวทำความดีกันต่อความเสียหายจะลดน้อยลง แต่อย่างไรแล้วเมื่อถึงเวลากรรมก็ต้องทำหน้าที่เช่นกัน หลังจากที่เกิดซึนามิทางภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันแล้ว ผลกระทบที่ไทยจะได้รับคือ ผู้คนล้มตายจำนวนหนึ่ง ชายหาดทั้งฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทยจะจมหายลงไปในทะเลบางส่วน ฝั่งอ่าวไทยน้ำจะเข้าท่วมจังหวัดสมุทรปราการบางส่วน กรุงเทพบางส่วน พื้นที่ที่ติดกับทางเดินของน้ำหรือทางผ่านของน้ำ อ่างเก็บน้ำ ที่ราบลุ่มจะเกิดน้ำท่วมสูงขึ้นมาประมาณ 2-3 เมตร เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทางฝั่งทะเลอันดามันจะหนุนน้ำผ่านทางช่องแคบมะละกาทำให้กระแสน้ำหนุนสูงบริเวณอ่าวไทยเข้ามาทางจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพและพื้นที่ที่ติดกับทางเดินของน้ำเช่นจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดน้ำจะท่วมสูง บ้านเรือนสองฝั่งจะจมน้ำ พืชพรรณทางการเกษตรเสียหาย พืชพันธุ์ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อนข้าวปลาอาหารจะหายากเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยาก โจรผู้ร้ายชุกชุมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่มี ถ้าจะถามหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็หมดหวังเพราะถึงเวลานั้นไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะปราบกันไม่ไหวโจรผู้ร้ายชุกชุม ความยุติธรรมก็ไม่ต้องพูดถึง ใครมีเงินก็คือผู้บริสุทธิ์ คนดีจะท้อแท้จนไม่ยินดียินร้ายที่จะรักษาความดีและกลายเป็นคนไม่ดีไปในที่สุด
       เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนจะตระหนักถึงชีวิตและความปลอดภัยจะเที่ยวพากันเสาะแสวงหาพื้นที่อันปลอดภัยที่จะใช้ชีวิตอยู่ เมื่อรอดจากความตายมาได้แล้วก็ต้องมาต่อสู้ดิ้นรนในการทำมาหากินต้องเผชิญกับความทุกข์ที่ต้องอดอยากขาดแคลนอาหาร ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็ไม่มี ทุกข์จนต้องหันหน้าเข้าไปพึ่งพระพุทธศาสนา เอาธรรมะเข้ามาชโลมจิตใจให้หายจากความทุกข์โศก
            ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายเมื่อท่านอ่านมาได้ถึงเพียงนี้แล้ว ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ท่านจะยังประมาทในชีวิตอยู่อีกหรือไม่? ถ้าหากเรื่องที่กล่าวมามันเกิดขึ้นจริงท่านจะทำอย่างไรกับวันนี้ของท่าน? ท่านจะทำอย่างไรกับอนาคตของท่านเล่า? 
        ที่พรรณนามาให้ท่านได้อ่านนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ฝึกเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับอนาคตเพราะต่อไปนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกแล้ว ท่านจะไม่ได้อยู่อย่างสบายแบบนี้อีกแล้ว ความสะดวกสบาย ข้าวปลาอาหารแม้แต่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะมันไม่มีอะไรจะให้ท่านยึดถืออีกต่อไป มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่จะพาท่านหลุดพ้นจากทุกข์และจะพาท่านไปอยู่ในประเทศอันสมควร
      พระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดมกำลังเดินทางกลับเข้าสู่จุดเริ่มต้นของศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เป็นช่วงรอยต่อที่ท่านจะต้องเดินทางข้ามผ่านไปให้ถึงศาสนาขององค์สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยให้ได้  ถ้าหากท่านข้ามไปไม่ทันแล้วท่านคงต้องรออีกนานแสนนานเลยทีเดียว